ถวายสัตย์ฯ เครียด! “ปิยบุตร” นำทีมฝ่ายค้านบี้ “บิ๊กตู่-วิษณุ” ลาออก

ฝ่ายค้านเปิดฉากถล่ม พล.อ.ประยุทธ์” ถวายสัตย์ไม่ครบ ทำตามอำเภอใจ “ปิยบุตร” ถามถ้ามีรัฐมนตรีใหม่ นำถวายสัตย์อีกรอบจะใช้ประโยคเดิมอยู่หรือไม่ บี้ นายกฯ รับผิดชอบทางการเมือง แนะ “วิษณุ” ออกจากเรือแป๊ะ กลับมาเป็นปูชนียบุคคล

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.40 น.วันที่ 18 กันยายน ที่รัฐสภา เกียกกาย มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 กรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นำคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบ และแถลงนโยบายโดยไม่แจกแจงที่มาของงบประมาณ โดยมีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธาน

ซีกรัฐบาลยกคำวินิจฉัยศาล รธน.ปิดเกม

ทั้งนี้ ก่อนเข้าสู่วาระการประชุม นายวีระกร คำประกอบ ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ ได้ลุกขึ้นหารือว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้มีความเห็นว่าการถวายสัตย์เป็นการกระทำทางการเมืองอันอยู่ในความหมายของการกระทำทางรัฐบาลและไม่ได้รับคำร้องไว้พิจารณาจะอภิปรายได้หรือไม่ ทำให้ นายชวนชี้แจงว่า การเปิดอภิปราย มาตรา 152 เป็นเรื่องใหม่ของสภา เพราะรัฐธรรมนูญในอดีตไม่ได้บัญญัติสิทธิหน้าที่ของสภาในเรื่องนี้เอาไว้ แต่มาตรา 152 เปิดโอกาสให้ ส.ส.เข้าชื่อเพื่อขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี

“แม้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยมาแล้ว แต่ฝ่ายกฎหมายของสภาและรองประธานสภาหารือร่วมกันโดยมีความเห็นร่วมกันว่าญัตตินี้ไม่ได้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะมีผลผูกพันต่อทุกองค์กรต่อเมื่อเป็นคำวินิจฉัยตามความหมายของรัฐธรรมนูญมาตรา 211 แต่ที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญมีเพียงคำสั่งไม่รับพร้อมกับมีความเห็นประกอบ จึงไม่ถือเป็นคำวินิจฉัยตามมาตรา 211 สภาจึงสามารถพิจารณาญัตตินี้ได้ตามมาตรา 152 และข้อบังคับการประชุมสภา” นายชวนกล่าว

“ชวน” ดุ ปิดไมค์ “ปารีณา”

ทำให้ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ได้ลุกขึ้นประท้วงนายชวนทันที แต่นายชวนตัดบทไม่ให้ประท้วง เพราะประท้วงประธานไม่ได้ ทำให้ น.ส.ปารีณา โต้เถียงว่า “ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่มีอำนาจตรวจสอบเลย แล้วท่านยังมีอำนาจประธานวินิจฉัยได้อย่างไร“ ทำให้นายชวนได้ปิดไมค์ทันที

สมพงษ์ ฉะ บิ๊กตู่ แต่ง-เติม รัฐธรรมนูญ

จากนั้น ที่ประชุมเข้าสู่ระเบียบวาระอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ โดย นายสมพงษ์ เป็นผู้กล่าวเปิดอภิปรายของฝ่ายค้านตอนหนึ่งว่าว่า จากกรณี พล.อ.ประยุทธ์ ได้นำคณะรัฐมนตรี (ครม.) เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้ารับปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 แต่ถามข้อเท็จจริงกลับปรากฏโดยประจักษ์ชัดว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้นำ ครม.กล่าวถ้อยคำโดยขาดคำอันเป็นสาระสำคัญ นอกจากยังมีการกล่าวถ้อยคำเพิ่มเติมโดยที่มิได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่งกรณีดังกล่าว จึงถือเป็นเรื่องสำคัญที่มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของการถวายสัตย์ฯ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อทราบข้อเท็จจริงแล้วว่า ตนเองกล่าวไม่ถูกต้อง ประชาชน และส.ส.ฝ่ายค้านต่างให้ได้โอกาสได้แก้ไขปัญหา แต่พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่ยอมแก้ไขข้อผิดพลาด แม้แต่มีผู้เสนอทางออก แต่พล.อ.ประยุทธ์กลับเพิกเฉย จึงเป็นหน้าที่ของพวกตนที่จะต้องทำหน้าที่ขอเปิดอภิปรายสอบถาม

ถวายสัตย์ตามอำเภอใจไม่ได้

“การถวายสัตย์ปฏิญาณนั้น แปลว่า การถวายคำมั่นสัญญาอันเป็นความจริงแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ เป็นการให้คำมั่นสาบานตนต่อองค์พระประมุขก่อนเข้ารับหน้าที่ ซึ่งมีอยู่ในหลายๆ พิธีกรรมของสังคมไทย แม้ประเทศอื่นๆ ก็มี เช่น การสาบานตนของประธานาธิบดี ถือเป็นการให้การรับรองยืนยันต่อหน้าองค์พระประมุขว่า จะใช้อำนาจหน้าที่ภายใต้กรอบของการถวายสัตย์ปฏิญาณ โดยจะใช้อำนาจตามอำเภอใจไม่ได้ ดังนั้น ครม.ต้องกล่าวถ้อยคำถวายสัตย์ด้วยถ้อยคำตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 เท่านั้น ถือเป็นถ้อยคำตามที่กฎหมายกำหนด จะกล่าวถ้อยคำน้อยหรือยาวไปกว่าที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ไม่ได้ ดังนั้น ผลจากกรณีนี้ถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และส่งผลต่อความชอบในการแถลงนโยบาย ครม.ในการบริหารราชการแผ่นดิน ในการอนุมัติโครงการและงบประมาณต่างๆ ของรัฐบาลด้วย” นายสมพงษ์กล่าว

ยกหนังสือหลังม่านการเมือง มัด “บิ๊กตู่”

นายสมพงษ์ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะรัฐมนตรีหลายสมัย ถือเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านกฎหมาย ได้เขียนหนังสือเรื่องเล่าจากเนติบริกร ในเล่มที่ 3 ชื่อ หลังม่านการเมือง ตอนหนึ่งว่า นายกฯ จะเป็นผู้กล่าวนำ ความสำคัญจึงอยู่ที่นายกฯ จะผิดไม่ได้ ซึ่งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี จะพิมพ์ลงในบัตรแข็งให้อ่าน เพื่อจะไม่พลาด ขืนท่องจำผิดๆถูกๆ ตกคำว่า และ หรือคำว่า หรือ สักตัว ก็อาจต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า ได้ถวายสัตย์ครบถ้วนหรือยัง จะยุ่งเปล่าๆ

นายสมพงษ์ กล่าวว่า ส่วนกรณีที่รัฐบาลแถลงนโยบายโดยไม่แจ้งที่มารายได้ของงบประมาณในการดำเนินนโยบายต่างๆ เป็นอีกเรื่องตามญัตตินี้ ซึ่งฝ่ายค้านได้อภิปรายคัดค้านไปแล้วว่า ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 162 วรรคหนึ่ง แต่ ครม.กลับเพิกเฉย ไม่แก้ไขให้ถูกต้อง สอดคล้องกับกับกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 57 โดยเฉพาะเจตนารมณ์ในการควบคุมการกำหนดนโยบายไว้ ตั้งแต่ในขั้นตอนการหาเสียงแล้ว ดังนั้น การกระทำทั้งหมด ตนถือว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้เป็นผู้ก่อมลทินให้ติดตัว ครม.ภายใต้การนำของท่านทั้งคณะ ที่สำคัญมลทินที่เกิดขึ้น ได้ไปลดทอนความไว้วางใจ และความเชื่อมั่นที่ประชาชนควรมอบรัฐบาลอย่างน่าใจหาย บทเรียนที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ผมขอเรียนว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้นำของประเทศได้แสดงถึงความไม่มีวุฒิภาวะ ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นลูกโซ่ ประเทศขาดความเชื่อมั่น เมื่อความเชื่อมั่นไม่เกิดขึ้น การยอมรับนับถือจึงไม่มี ผู้นำประเทศที่ถูกตำหนิและนินทามากเช่นนี้เช่นนี้จะนำพาสังคมและประเทศที่กำลังวิกฤตให้อยู่รอดได้อย่างไร

หวั่นเอาผิดมาตรา 157 นายกฯ ไม่ได้

ขณะที่ น.อ.อนุดิษฐ นาครทรรพ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย อภิปรายเป็นคนต่อมาว่า ประเทศไทยเป็นสังคมที่ใช้กฎหมายเป็นหลักในการปกครอง มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ นอกจากเป็นสัญลักษณ์การปกครองระบอบประชาธิปไตย ในรัฐธรรมนูญยังมีมีหมวดสิทธิเสรีภาพ หมวดนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ กรณีที่นายกฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ โดยตัดทิ้งเรื่องจะรักษาไว้รัฐธรรมนูญออกไปอาจแปลความหลายเรื่อง อาจไม่เคารพสิทธิสะรีภาพของประชาชนในประเทศนี้ ไม่ต้องดำเนินนโยบายตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดได้หรือเปล่า เช่น ครม.อาจทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ได้โกง แต่ไม่ได้จัดให้เด็กได้เรียนฟรี แต่อ้างว่าไม่มีงบประมาณ ถ้าไม่ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ ก็ไม่มีใครสามารถไปฟ้องเอาผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ได้ หรือการแถลงนโยบายไม่แจงแหล่งที่มา ผ่านไปแค่อาทิตย์เดียวก็ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 3 แสนล้านบาท รัฐมนตรีออกมาตีปี๊บ แต่ชาวบ้านตั้งข้อสังเกตเรื่องแจกเงินไปเที่ยว 1,000 บาท เราไม่สามารถเอาผิดเรื่องการทุจริต หรือ เอาผิดเรื่อง 157 เพราะไม่เคยสัญญาว่าจะทำตามรัฐธรรมนูญ คนที่เสียหายคือประชาชน หรือฝ่ายค้านจะอภิปรายไม่วางใจก็ไม่สามารถทำได้

บี้รับผิดชอบการเมือง

“เปรียบเหมือนขอลูกสาว เขารับปากว่าจะรัก แต่ไม่รับปากว่าจะดูแล ไม่ให้เกียรติกับลูกสาวของเรา ผมคนหนึ่งจะไม่ยกลูกสาวให้ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง จะขาดตอนหนึ่งตอนใดไปไม่ได้ เมื่อถวายสัตย์ฯ ไม่ครบ คือการไม่ให้ความสำคัญกับประชาชน จากข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย การถวายสัตย์ของ ครม.ไม่สมบูรณ์ ต้องตีความต่อว่า ครม.รับหน้าที่ไม่ได้ และการกระทำที่ต่อจากถวายสัตย์ฯ ไม่มีอำนาจและหน้าที่ปล่อยไว้เนิ่นนานยิ่งเสียหาย ทางออกเดียว พล.อ.ประยุทธ์ ต้องแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองปกติ ที่สง่างามที่สุดคือการลาออก ไม่ได้เป็นการเสื่อมเสีย แต่เป็นการแสดงความรับผิดชอบที่นานาอารยประเทศทำกัน ใช้ความกล้าหาญ ลุกขึ้นเปล่งเสียงชัดๆ ผมขอลาออก แสงสว่างก็จะเกิดกับประเทศชาติทันที ทำให้ประเทศชาติสักครั้งได้ไหม” น.อ.อนุดิษฐ กล่าว

ปิยบุตรถาม 4 ข้อ ประยุทธ์ – วิษณุ

ด้านนายปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ อภิปรายซักถามตอนหนึ่งว่า 1.นายกฯ ได้อ่านคำถวายสัตย์จากกระดาษแข็งในกระเป๋าเสื้อด้านข้างเตรียมมาเองใช่หรือไม่ ได้เขียนข้อความที่ไม่ตรงกับรับธรรมนูญ เหตุใดไม่อ่านในแฟ้มสีน้ำเงินที่สำนักเลขา ครม.เตรียมไว้ให้ 2. หากมีรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งลาออก เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ แต่งตั้งคนใหม่เป็นรัฐมนตรีแทน แล้วพล.อ.ประยุทธ์ ต้องนำรัฐมนตรีใหม่ เข้าเฝ้าถวายสัตย์อีกครั้งหนึ่ง ขอถามพล.อ.ประยุทธ์ ว่า ท่านจะถวายสัตย์ด้วยถ้อยคำตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่ หรือจะใช้ถ้อยคำเหมือนวันที่ 16 ก.ค.อีก 3.ถามนายวิษณุ ว่า หากนายกฯ หรือรัฐมนตรีคนต่อๆ ไป ถวายสัตย์ไม่ครบ ท่านคิดว่าทำได้หรือไม่ 4.ในฐานะที่นายวิษณุเป็น รองเลขา ครม.เป็นเลขาฯ ครม. ทำในทำเนียบรัฐบาลเกือบ 2 ทศวรรษ เคยเห็นนายกฯ คนใดทำแบบ พล.อ.ประยุทธ์ หรือไม่แล้วทำได้หรือไม่อย่างไร

ขอให้ลาออกจากตำแหน่ง

นายปิยบุตร กล่าวว่า ได้ชี้แนะทางออกให้ พล.อ.ประยุทธ์ ผ่านสื่อมวลชน ขอพระบรมราชานุญาติ ขอถวายสัตย์ปฏิญาณใหม่อีกครั้ง ส่วนการกระทำต่างๆ ที่ผ่านมา ขอให้ ครม.มีมติใหม่ชุบชีวิตให้การกระทำเหล่านี้สามารถดำเนินการต่อไปได้อีกครั้งหนึ่ง แต่หลังจากได้รับการยืนยันชัดเจนจากพล.อ.ประยุทธ์ ถึงการถวายสัตย์นั้น ไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญจริง โดยไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น เป็นการทำลายความเชื่อถือไว้วางใจของประชาชนไปจนหมดสิ้น จึงขอเรียกร้องไปถึงนายวิษณุ ที่ตนถือว่า เป็นอาจารย์ทางตำรา อ่านหนังสือของวิษณุทุกเล่ม รวมถึงนิยายก็อ่านที่กำลังรอนิยายเล่มใหม่ “ลงเรือแป๊ะ” ผมจึงขอให้นายวิษณุ กลับมาเป็นปูชนียบุคคลคนเดิม หยุดให้ความเห็นทางกฎหมาย และหยุดให้ความเห็นช่วยเหลือรัฐบาล และพล.อ.ประยุทธ์

“ผมไม่ต้องการ พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งคนเก่าและคนใหม่ ไม่ต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯต่อไป เพื่อรักษารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ธำรงไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุม ให้ประเทศไทยมีผู้นำที่สง่างามเป็นที่ยอมรับต่อนานาประเทศและของปวงชนชาวไทย ขอให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี” นายปิยบุตร กล่าว