“ธรรมนัส” แจงรายได้เดือนละ 3 ล้าน เช่าแผงล็อตเตอรี่ โอด เงินเดือนสส. สิ้นเดือนเหมือนสิ้นใจ

“ธรรมนัส” ยันไม่เคยเอายศ-บรรดาศักดิ์เอาเปรียบเชิงการเมือง ยอมรับถูกถอดยศร.ท. แต่กลาโหมเลื่อนยศร้อยเอกห่างกันหลายเดือน เลยทำสังคมสับสน หลังโปรดเกล้าตำแหน่งรมช.เกษตรฯ กลับมาใช้ยศอีกครั้ง ยืดอกรับมีแผงซื้อ-ขายสลาก10 แผงช่วยลูกค้าเก่าให้มีรายได้เลี้ยงชีพ วอนอย่ามองเป็นโจรเพราะเป็นอาชีพสุจริต

ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงกรณียศทหารของตนว่า เมื่อวันที่24 ตุลาคม 2541 ได้มีการลงนามพระบรมราชโองการโปรดเกล้าพระราชอนุญาตให้ถอดยศร.ท.พชร พรหมเผ่า สังกัดกองบัญชาการทหารสูงสุด ตั้งแต่9 กันยายน 2541 เหตุผลประพฤติตัวไม่สมควรกับพรบ.ว่าด้วยวินัยทหารพ.ศ. 2476 โดยมีนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีขณะนั้นรับสนองพระบรมราชโองการ แต่ตนก็มีหนังสือของกระทรวงกลาโหมอีกฉบับว่าด้วยการเลื่อนยศนายทหารสัญญาบัตร โดยอาศัยอำนาจม.3 ของพรบ.ยศทหารพ.ศ. 2475 ให้เลื่อนยศนายทหารสัญญาบัตรในสังกัดบก.ทหารสูงสุดซึ่งมีคุณสมบัติครบถ้วนตามระเบียบกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการแต่งตั้งยศและการเลื่อนยศของข้าราชการทหารปี2541 เป็นว่าที่ร้อยเอก อันดับ1 ร้อยโทพชร พรหมเผ่าหมายเลขประจำตัว 1 2 7 2 5 0 0 3 1 1 ลงชื่อโดยพล.อ.วัฒนชัย วุฒิศิริ รัฐมนตรีช่วยกระทรวงกลาโหมทำการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงวันที่ 1 มิถุนายน 2541 แต่สิ่งที่ทำให้เกิดความสับสนคือเนื่องจากประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีฉบับลงวันที่ 24 ตุลาคม 2541 เรื่องการถอดยศร้อยโท แต่อีกคำสั่งหนึ่งลงววันที่ 1 มิถุนายน 2541 ซึ่งถึงเดือนตุลาคมก็เป็นระยะเวลาหลายเดือน ดังนั้นจึงเกิดความสับสน

“ผมไม่เคยคิดที่จะแอบอ้างในเรื่องยศฐาบรรดาศักดิ์ ชีวิตผมที่ผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ การทำมาหากินหรือทำอะไรก็ตาม ก็ไม่เคยที่จะเอายศฐาบรรดาศักดิ์มาแอบอ้างในการทำมาหากิน ชี้แจงทรัพย์สินต่อปปช .และสมัครส.ส.ผมก็ใช้คำว่านายธรรมนัส พรหมเผ่า แต่เมื่อมีการนำชื่อเสนอขึ้นโปรดเกล้าก็มีการถกเถียงกันหลายประเด็น ตนพยายามหาหลักฐานสรุปแล้วยศตนยังอยู่หรือไม่ แต่ก็หาข้อสรุปไม่ได้ จึงมีความจำเป็นเมื่อได้รับโปรดเกล้าให้ใช้ชื่อร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยเกษตรก็ใช้ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาไม่ใช่ประเด็นที่ตน ใช้ยศอำนาจเพื่อได้เปรียบเชิงการเมืองเลย

ส่วนประเด็นเรื่องการค้าสลากกินแบ่งรัฐบาลตนไม่ปฏิเสธว่าก่อนที่จะเข้าสู่การดำรงตำแหน่งทางการเมืองในฐานะส.ส ตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม 2562 ตนมีอาชีพเป็น 1 ใน 5 เสือกองสลากกินแบ่งรัฐบาล มันผิดหรือที่ตนจะมีอาชีพเป็นผู้ค้าสลากรายใหญ่ ขออย่ามองเห็นผู้ค้าสลากรายใหญ่เป็นโจรหรือเป็นผู้เอารัดเอาเปรียบทางสังคม 5 เสือกองสลากเขาก็มีคุณธรรมไม่ใช่จะเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค แต่เมื่อนโยบายรัฐบาลชุดที่แล้วไม่ให้มี 5 เสือหรือผู้จำหน่ายฉลากรายใหญ่ ตนได้รับสัมปทานในฐานะเป็นคู่สัญญากับกองสลากครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2558 ประธานบอร์ดมีนโยบายว่าสลากการกุศลหรือสลากกินแบ่งรัฐบาลจะต้องถูกจำหน่ายโดยผ่านธนาคารกรุงไทย หรือผ่านองค์กรกุศลในจำนวนที่เป็นไปตามข้อบังคับ หรือระเบียบของสำนักงานสลากฯ วันที่ 4 สิงหาคม 2558 คือครั้งสุดท้ายที่ตนอยู่ในฐานะที่เป็นคู่สัญญากับกองสลากฯ

ร.อ.ธรรมนัสกล่าวว่า จนถึงทุกวันนี้ตนไม่มีสัมปทานหรือมีคู่สัญญากับสำนักงานสลากฯแม้แต่เล่มเดียว แต่ที่ได้สำแดงทรัพย์สิน รายได้ว่ามาจากการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเดือนละ 3 ล้านบาท คงเข้าใจผิดว่าตนยังเป็นคู่สัญญากับสำนักงานสลาก ขอเรียนว่ารายได้จากการทำธุรกิจในส่วนของสลากกินแบ่งเดือนละ 3 ล้านคือที่ตนเช่าแผงค้าสลากที่ข้างสำนักงานสลากฯ ซึ่งเป็นการเช่าช่วงจากเจ้าของตลาด ตนมีแผงค้าสลากกินแบ่งรัฐบาลเกือบ 10 แผง เพราะจำเป็นต้องหล่อเลี้ยงลูกค้าของตนที่ทำธุรกิจเรื่องสลากกันมาเกือบ 10 ปี เพราะสมัยที่ตนเป็นเจ้าของสัมปทาน ลูกค้าเหล่านั้นมารับสลากจากตนไปขายในแต่ละจังหวัดทั่วประเทศ ตนจึงจำเป็นต้องประคองชีวิตของพ่อค้าผู้มีอาชีพเหล่านั้นให้มีอาชีพต่อไป ถึงแม้ว่ารายที่เคยได้รับจะลดน้อยลง แต่เขาก็สามารถที่จะทำมาหากินเลี้ยงครอบครัวให้อยู่รอด ดังนั้นตนเปิดแผงค้าเกือบประมาณ 10 แผงเพื่อไว้รับซื้อ และจำหน่ายสลากเหมือนเดิม

“การทำอาชีพนี้ผมถือว่าเป็นอาชีพสุจริต แม้เราจะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหรือ ส.ส.ก็ตาม การเป็นรัฐมนตรีถือว่าสาหัสพออยู่แล้ว แต่สถานะการเป็นส.สโดยเฉพาะผู้แทนตลาดล่าง เงินเดือนแต่ละเดือนจากการได้รับจากรัฐบาลประมาณ 120,000 บาท ถามว่างานแต่ละงานในฐานะการเป็นสส. มันเลี้ยงพวกเราได้หรือไม่ ใครไม่เป็นผู้แทนจากเขตไม่รู้หรอก ยกตัวอย่างส.ส.บ้านผมดูแลพื้นที่พะเยามีกี่อำเภอ อบต.หมู่บ้าน ออกจากบ้านก็เสียเงินแล้ว สิ้นเดือนยิ่งกว่าสิ้นใจเงินไม่พอ ผมเชื่อว่าสส.ไม่ว่าฝ่ายค้านหรือรัฐบาลต่างก็ตระหนักดีว่าเราต้องทำมาหากินเหมือนกัน ไม่ใช่นั้นอยู่ไม่ได้“ ร.อ.ธรรมนัสกล่าว