ประยุทธ์ ใน Perfect Storm โควิด-19 พ่นพิษ ศรัทธารัฐบาลดิ่งเหว

รายงานพิเศษ

วิกฤตโควิด-19 ไม่เฉพาะระบาดใส่คนไทย-คนทั้งโลก แต่แรงระบาดกำลังทำลายศรัทธารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาพิษของโควิดไม่ทำลายเฉพาะสุขภาพคนไทย แต่ยังทำลายเศรษฐกิจให้เจ๊งทั้งระบบ

รวม ๆ แล้ว “พล.อ.ประยุทธ์” ในฐานะผู้บัญชาการประเทศ และคณะรัฐมนตรี กำลังถูกต้อนเข้าสู่มุมอับ เป็นเหตุให้ “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย อดีต รมว.สาธารณสุข ที่เคยรับมือโรคระบาดไข้หวัดนก ในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร จึงออกมาเสนอแนะช่วยฝ่ายรัฐบาลอีกแรง

ขึงทั้งประเทศ 21 วันหาโควิด

“คุณหญิงสุดารัตน์” เสนอว่า ตอนนี้โรคเข้ามาในประเทศมีการระบาดขึ้นภายในเป็นจำนวนมาก ไม่รู้ว่าใครติดจากใครแล้วจะต้องมีมาตรการที่ยกระดับ ไม่ต้องวัดว่าระยะ 2 ระยะ 3 แต่อยู่ในระยะที่ระบาดมากขึ้นเรื่อย ๆสิ่งที่จะเป็นปัจจัยในการที่กำจัดตรงนี้ได้ คือ การค้นพบผู้ติดเชื้อให้ได้เร็วที่สุดและมากที่สุด เราเสนอยุทธศาสตร์ในการปูพรม x-ray ทุกหมู่บ้าน ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อหาผู้ติดเชื้อทั่วประเทศ และการตรวจไม่ยากเพราะมี rapid test ที่สามารถทดสอบได้ว่าเป็นไวรัสหรือไม่ แม้ยังไม่ขึ้นว่าเป็นโคโรน่า แต่คนกลุ่มนี้อยู่ในความเสี่ยงแล้วเราค่อยไปตรวจอีกครั้ง ราคาไม่เท่าไหร่ ต้นทุน 50 บาท เราให้ 200 เลย ถ้าตรวจ 1 แสนคน ก็ 20 ล้านบาท เราจะทำให้คนที่อยู่ในข่ายเข้ามาสู่ระบบ 

“รัฐบาลอย่ากลัวที่จะบอกตัวเลขจริง ๆ กับประชาชน เพราะเราจะทำระบบที่จะขึงทั้งประเทศ เพื่อตรวจหาคนติดเชื้อให้มากที่สุด ตัวเลขจะสูงขึ้น แต่เราสามารถอธิบายกับประชาชนได้ว่า ยิ่งตัวเลขสูงขึ้น ประชาชนจะยิ่งปลอดภัยมากขึ้น ยิ่งมากเท่าไหร่ ประชาชนทั่วไปจะปลอดภัยมากเท่านั้น ตัวเลขที่สูงขึ้นยิ่งดีกับประชาชนทั่วไป”

คัดกรอง 3 รอบ ลดแพร่ระบาด

คุณหญิงสุดารัตน์เสนอให้ทำ 3 รอบ รอบละ 5 วัน ให้จบภายใน 21 วัน ถ้าทำได้ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ 99% เข้าสู่ระบบ จะทำให้ลดการแพร่ระบาดได้เร็วมาก เมื่อทำแบบนี้เศรษฐกิจก็จะฟื้นได้เร็ว แต่ถ้าปิดสถานที่ที่ชุมนุม ที่เจอกันอย่างเดียวโดยไม่หยิบผู้ติดเชื้อออก ไม่ได้ให้ไปทำงาน ไปโรงเรียน แต่อยู่ในบ้านก็ติดคนในบ้านต่อ คนในบ้านก็ออกไปทำงานก็ติดคนที่ทำงานต่อ

ที่ทำ 3 รอบ เพราะระยะฟักตัว 14 วัน เพราะอนุมานว่าในวันแรกที่เราเริ่มติดเชื้อจะต้องมี 14 วัน และระหว่างนั้นอาจมีติดกันเองเพิ่ม double ขึ้นมา เราก็ใช้เวลา 3 อาทิตย์ เป็นเวลาให้คนพอทำงานได้ ต้องใช้มาตรการนี้ ถ้าไม่จัดการก็จะไปสู่เฟสต่อไปที่หลายประเทศทำ อิตาลี จีน เกาหลีใต้ ทำเพื่อให้คนอยู่แต่ในบ้าน คนจะรับไม่ได้

แม้เราเห็นด้วยกับมาตรการปิดสถานที่ต่าง ๆ แต่การที่วันนี้ไม่ทันแล้ว ต้องใช้ยุทธการปูพรม x-ray หาผู้ติดเชื้อเข้ามาสู่ระบบ ไม่ให้ออกไปแพร่ระบาด คนที่ไม่แสดงอาการ เราต้องหาที่โดยการเช่าโรงแรมให้แยกตัวไว้เพื่อสังเกตอาการ เช่น เช่าโรงแรมใกล้ รพ.ธรรมศาสตร์ ให้ รพ.ธรรมศาสตร์ดูแล คนที่ป่วยอยู่ รพ. ทำแบบนี้จะลดการระบาดได้ 

“หัวใจของการจะลดการระบาดได้ คือ เจอผู้ติดเชื้อให้เร็ว ให้มากที่สุด การใช้งบฯตรวจไม่เกิน 200 ล้านบาท ถูกมาก คุ้มมากกับชีวิตคนไทย และกับการที่เราจะฟื้นเศรษฐกิจเร็ว ถ้าเราทำตอนนี้เราจะ maintain ได้เหมือนไต้หวัน แต่ถ้าไม่ทำตรงนี้จนหลุดระยะนี้ไปจะทำไม่ได้”

ปิดประเทศ-เปิดโรงแรมกักกัน

ขณะเดียวกัน เราต้องกันไม่ให้เชื้อใหม่เข้ามาด้วย โดยให้นายกรัฐมนตรีเลือก 2 ทาง ปิดไม่ให้ผู้เดินทางเข้าประเทศ หรือเลือกประกาศใน พ.ร.บ.โรคระบาด ทุกคนที่เดินทางเข้าประเทศต้องกักตัว 14 วัน และไม่ใช่กักตัวด้วยการใช้แอปพลิเคชั่นติดตามตัว แต่เราต้องเช่าโรงแรมใกล้สุวรรณภูมิไว้เป็นที่กักกัน ตอนนี้ก็ไม่มีคนพักอยู่แล้ว และให้ผู้ที่เดินทางเข้ามารับผิดชอบค่าใช้จ่ายจะลดการเดินทางลงไปได้  แนวปฏิบัติด้านการระบาด ควบคุมโรค ต้องใช้กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย ไม่ใช่แต่ละหน่วยงานต่างคนต่างสั่ง แต่ต้องมี single command ถ้าบริหารจัดการไม่ได้ก็เปลี่ยนคน

จี้วิกฤตศรัทธา “บิ๊กตู่”

ขณะเดียวกัน รัฐบาลเผชิญ “วิกฤตศรัทธา” อันหนักหน่วงจากข้อขัดข้องทางเทคนิคหลายด้านในการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินในหลายมิติ เจ้าแม่ กทม.แห่งเพื่อไทย สะท้อนวิกฤตศรัทธารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ว่า “การบริหารจัดการในภาวะวิกฤตแบบนี้ ความเป็นผู้นำต้องมีความสำคัญ เพราะคนหาทางออก คนอยากรู้ว่าเราจะไปไหนอย่างไร ทำอะไรบ้าง ผู้นำจะเป็นศูนย์รวม เมื่อเกิดวิกฤตศรัทธาจะเป็นรัฐล้มเหลว จัดการปัญหาได้ยาก ไม่ใช่ผู้นำบอกว่าไม่ต้องตกใจ ข้าวของไม่ขาด หน้ากากไม่ขาด ของไม่ต้องกักตุน”

“เหตุการณ์หลังจากวันที่ผู้นำพูดปั๊บ ของหมดซูเปอร์มาร์เก็ต เราปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ได้ เพราะการสู้กับภาวะวิกฤตต้องอาศัยการนำที่ชัดเจน ต้องมี single command ต้องมีผู้รับผิดชอบในแต่ละด้าน ทั้งรับผิด และรับชอบ ทำไม่ได้ต้องเปลี่ยนคน เพราะทุกวินาทีในภาวะวิกฤตมีความสำคัญทั้งนั้น”

“เรื่องนี้แม้พูดในฐานะฝ่ายค้าน แต่เราไม่ต้องการเห็นสภาพรัฐล้มเหลว แล้วทำให้วิกฤตโรคระบาดครั้งนี้ทำให้อยู่ในความเสี่ยง เพราะเรารู้ว่าอยู่ในวิกฤตที่เสี่ยงภัยกับชีวิตของประชาชน”

“ถ้าคิดเอาโอกาสถล่มรัฐบาลได้ดีที่สุด แต่เราไม่เลือกที่จะทำแบบนั้น เพราะวันนี้คิดว่าการเมืองไว้ทีหลัง เราช่วยกันเป็นอีกแรงหนึ่งที่ทำให้วิกฤตสุขภาพผ่านไปได้เพื่อประชาชน”

นายกฯคนเดิม ไม่เห็นแสงสว่าง

“เป็นไปได้เราก็อยากเปลี่ยนผู้นำตอนนี้ แต่โดยระบบก็เปลี่ยนยาก เพราะรัฐธรรมนูญเป็นแบบนี้ สำคัญที่สุดผู้นำต้องพิจารณาตัวเองว่าปรับปรุงตัวเองได้ไหม ถ้าไม่ได้ต้องพิจารณาตัวเอง ลาออกหรือให้คนที่เขามีฝีมือเข้ามาทำ เพื่อไทยที่ได้ ส.ส.มากที่สุด ยกมืออย่างไรก็แพ้เขา เพราะยังมี ส.ว. 250 คน” 

ขณะนี้เป็นทั้งข้อดีข้อเสียของรัฐธรรมนูญ 2560 แต่ก่อนถ้ามีวิกฤตแบบนี้ต้องมีการปฏิวัติ แต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้เปิดช่องให้มีปฏิวัติในตัว เพราะนายกฯไม่ต้องมาตามระบบ สามารถเลือกผู้นำรัฐบาล และรัฐบาลได้โดยใช้วิธีพิเศษ ส่วนดีคือ เปิดช่องสำหรับไม่ต้องมาใช้ข้ออ้างลากรถถัง ถ้าลากช่วงนี้ประชาชนคงไม่เหลืออะไรแล้ว 

แต่ถามว่าเราจะหาใคร เป็นเรื่องที่สภาทั้งหมดหารือร่วมกันว่าวิกฤตแบบนี้ที่ยุโรปเกิดวิกฤตโคโรน่า อย่างแรกที่ฝ่ายการเมืองทำ คือ เปิดสภา หาทางออกร่วมกัน แต่นี่เรากลับบอกว่าเปิดเวทีมาจะเป็นเวทีด่านายกฯ จึงไม่มีเวทีแก้ปัญหา เหมือนหาคนนอกมาเป็นนายกฯ ก็ต้องหารือกันในสภาว่ารับผิดชอบไม่ไหวแล้วโหวตในสภากันใหม่ไหมว่าจะเอาใคร

จำเป็นต้องเปลี่ยนม้ากลางศึกหรือไม่ “คุณหญิงสุดารัตน์” ขอตอบแบบใจจริง “เปลี่ยนกลางศึก ไม่เปลี่ยนกลางศึก ถ้าเป็นนายกฯคนนี้มันเหมือนเดิม ไม่ใช่ว่าเขาอยู่แล้วเราเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ เขาอยู่เราก็ยังไม่เห็น การเปลี่ยนหาคนที่มีศักยภาพมาทำในตอนนี้ดีกว่าด้วยซ้ำไป”

บิ๊กตู่ ผจญ Perfect Storm

ด้าน “เกษียร เตชะพีระ” ปรมาจารย์รัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ “มติชนสุดสัปดาห์” ถึงวิกฤตศรัทธาที่กำลังถาโถมรัฐบาล ว่า

“ที่กำลังเจอตอนนี้ลามจากเรื่องการเมืองไปเศรษฐกิจเต็มที่แล้ว คิดว่าคนจำนวนหนึ่งเข้าใจได้ว่ารัฐบาลเผด็จการไม่ชอบธรรม 250 ส.ว.โหวตให้นายกฯโดยไม่ต้องผ่านการเลือกตั้ง เห็นความไม่เป็นประชาธิปไตยในระเบียบรัฐธรรมนูญแล้ว แต่ความไม่มีประสิทธิภาพยังไม่เห็นชัด ดูเหมือนลาก ๆ ถู ๆ ไปได้ รู้สึกว่าเขาเก่งด้วยในการหยุดม็อบ ทำให้เกิด “ความมั่นคง” ขึ้น “แต่ที่เราเจอมันวิกฤตดิน น้ำ ลม ไฟ the perfect storm วิกฤตดิน คือ PM 2.5 วิกฤตน้ำ คือ ภัยแล้ง วิกฤตลม คือ ไวรัสโคโรน่า ไฟ คือ ไฟป่า มาบรรจบพอดี”

เราจึงเห็นความไม่เอาไหนทางประสิทธิภาพของรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง มาจากอำนาจเผด็จการที่จัด priority ลำดับความสำคัญไม่เป็น ปล่อยให้ผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มต่าง ๆ ดึงเขาไป สะวิงไปทางนั้นทีทางนี้ที ประเดี๋ยวจะปล่อยนักท่องเที่ยวเข้ามา ประเดี๋ยวก็จะห้ามข้า ประเดี๋ยวก็จะไม่ส่งออกหน้ากาก เดี๋ยวก็ส่งออก ราวกับว่าผลประโยชน์เฉพาะส่วนรายวันใครถึงหูท่าน แล้วใครดึงท่านได้ก่อน

แล้วใครจะเคยเห็นว่าอธิบดีกรมการค้าภายในจะมาฟ้องโฆษกกรมศุลกากร หน่วยราชการไม่เป็นเอกภาพ อยู่รัฐเดียวกันหรือเปล่า เหมือนคนละประเทศ คนละกรม แสดงว่าระบบเฮงซวย ไม่เป็นเอกภาพตั้งแต่ต้น เรามาเห็นความไม่เป็นเอกภาพในวันที่วิกฤตมา แล้วทุกคนดิ้นรนเอาตัวรอด ปัดความรับผิดชอบให้คนอื่น

“และร้ายกว่านั้นท่ามกลางการเดือดร้อนของผู้คน ฉวยประโยชน์ได้…กูฉวย คนไทยโกรธเรื่องนี้นะครับ ถ้ามีอะไรที่ไม่ไทย อันนี้คือไม่ไทย คนไทยทั้งประเทศเดือดร้อน หากินกับความเดือดร้อนเขา”  


ไวรัสโคโรน่าเหมือนหนังที่แช่กล่องไว้แล้วถ่ายมุมเดียวใน 24 ชั่วโมง แล้วเดินเครื่องให้เร็ว โคโรน่าคือกล้องแบบนั้น แทนที่วิกฤตความระส่ำระสายใช้เวลายาวเป็นปีกว่าเราจะเห็น แต่ในระยะเวลาอันสั้น เราเห็นความไม่เป็นโล้เป็นพาย ความเลอะเทอะออกมาเต็มเลย คนดูข่าวรายวันแล้วหมดหวังรายวัน