ผบ.สส. เตือนครั้งที่ 1 Work from home จันทร์-ศุกร์ ปิดบ้านเสาร์-อาทิตย์ สธ.คาดผู้ติดเชื้อพุ่ง 25,225 คน

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 63 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง แถลงภายหลังประชุม ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้อำนวยการ ศบค. ว่า ขณะนี้ยังไม่ปิดประเทศ ยังไม่ปิดเมือง ยังไม่ปิดบ้าน ทุกคนยังสามารถสัญจรไปมาปกติได้ แต่ถ้าเรายังไม่เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต แล้วตัวเลขผู้ติดเชื้อยังพุ่งสูงขึ้น จะนำไปสู่การปิดประเทศ ซึ่งผลกระทบจะกว้างขวางมาก หลายประเทศในโลกปิดประเทศ หลายประเทศในโลกเคอร์ฟิว คือ การห้ามออกนอกบ้านยามวิกาล ถ้าปิดประเทศคือการล็อกดาวน์ ปิดกิจการตลอด 24 ชั่วโมง สิ่งสำคัญ คือ เชื้อโรคไม่ได้ปิดกิจการ ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน
“มีหลายท่านถามว่าจะเคอร์ฟิวหรือไม่ ถ้าเคอร์ฟิวกลางคืน 3 ทุ่มถึงตี 5 แล้วกลางวันท่านยังสัญจรไปมาค่าเท่ากัน เพราะเชื้อโรคยังทำงานเวลากลางวันเหมือนกัน สิ่งที่จะเป็นไปได้ ก่อนที่เราจะถึงมาตรการสูงสุด คือ การล็อคดาวน์ หรือ ปิดประเทศ มีหลายอย่างที่เราสามารถทำได้”
พล.อ.พรพิพัฒน์กล่าวว่า มีการพูดกันมากเรื่องลดชั่วโมงทำงาน พูดกันมากเรื่องทำงานที่บ้าน Work from home เราพูดกันมากเรื่องลดความแออัดในสถานที่ทำงาน เราพูดเรื่องเลิกการชุมนุม เลิกการสังสรรค์ สัมมนาที่ใกล้ชิดมีความเสี่ยง แต่ข่าวทีทุกวัน เพราะไม่เปลี่ยน นำไปสู่ผลเสีย
“ผมเชิญชวนทุกคน ความสำคัญอยู่ที่ผู้บังคับบัญชา อยู่ที่นายจ้าง ผมขอความร่วมมือ ผมขอร้อง ผู้บังคับบัญชา และเจ้าของกิจการมีวิธีบริหารงานสมัยใหม่ที่จะเอางานกลับไปทำที่บ้าน ทำงานนอกเวลา หรือ มีวิธีอื่นใดที่มีเครื่องมือมาทดแทนให้ลูกน้องมาระดมทำงาน ขอให้ทำ ลงมือทำ ทำให้เป็นรูปธรรม”
“เสาร์ อาทิตย์ คนไทยทั้งหมดร่วมมือกันอยู่กับบ้าน ลองดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้ารัฐบาลบอกว่า ล็อคดาวน์ แปลว่าออกนอกบ้านไม่ได้ ต้องมีใบอนุญาตอย่างหนึ่งอย่างใดออก แต่รัฐบาลไม่ไปถึงขั้นนั้น ถ้าทำด้วยความสมัครใจ หยุดอยู่กับบ้าน หยุดกิจกรรม หยุดไปในพื้นที่เสี่ยง ถ้าต้องไปซื้อกับข้าว เสาร์ อาทิตย์ไปซื้อครั้งเดียวได้หรือไม่ เสาร์ อาทิตย์อยู่ในบ้าน อยู่ให้ห่างกัน เราได้ 2 วัน ผมขอร้อง ขอวิงวอน”
“จากนั้นอีก 5 วันที่เหลือ วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ถ้าหัวหน้าส่วนราชการ ถ้าเจ้าของกิจการ ถ้าสภาอุตสาหกรรม ถ้าสภานักธุรกิจทั้งหลาย ทุกคนร่วมมือกัน ปรับวิธีการทำงานทั้งหมดให้จันทร์ถึงศุกร์ถัดไปเป็นการทำงานที่บ้าน หรือ ทำงานเหลื่อมเวลา หรือ ทำงานน้อยลง เพื่อลดการแพร่เชื้อทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ลองดูว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น”
พล.อ.พรพิพัฒน์กล่าวว่า รัฐไม่ห้ามสัญจรไปมา ไม่ต้องกักตุนอาหาร ขอความร่วมมือบรรดากิจการที่เกี่ยวกับสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งปวง เพราะเป็นนาทีที่ท่านจะคืนกำไร คืนความมั่นคงปลอดภัยให้กับพวกเราทุกคน ห้ามขึ้นราคาและต้องประกันว่าสินค้าบนชั้นวางไม่มีขาด
“ถ้าทำมาตรการ Social distancing สูงสุด เข้มงวดในการเว้นระยะห่างทางสังคมเช่นนี้ 80 เปอร์เซ็นต์ในระยะสั้น ๆ จะส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อสองพันกว่าคน แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรเลยจะทำให้มีผู้ติดเชื้อเจ็ดพันถึงหมื่นคน”
ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า กระทรวงสาธารณสุขรายงานในที่ประชุมได้รายงานในที่ประชุมถึงแนวโน้มจำนวนผู้ป่วยและจำนวนคาดการณ์ถึงวันที่ 15 เมษายน 2563 ว่า หากไม่มีมาตรการป้องกันจะมีผู้ป่วยสะสม 25,225 ราย หาก Social distancing 50 เปอร์เซ็นต์ จะมีผู้ป่วยสะสม 17,635 ราย และหาก Social distancing 80 เปอร์เซ็นต์ จะมีผู้ป่วยสะสม 7,745 ราย