แจ้งความ “ส.ส.ณัฐชา” กองทัพภาค 2 ชี้ใช้เอกสารเท็จ หลักฐานแฉไอโอ

ภาพจาก มติชน

กองทัพภาคที่ 2 แจ้งความ “ส.ส.ณัฐชา” พรรคก้าวไกล ชี้ใช้เอกสารเท็จ หลักฐานแฉไอโอ

วันที่ 2 กันยายน 2564 มติชน รายงานว่า ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อวันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมา นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพฯ พรรคก้าวไกล ลุกขึ้นอภิปรายระบุว่า จะเปิดโปงปฏิบัติการไอโอ (Information Operation หรือปฏิบัติการข่าวสาร) ภาคจบ

จากนั้นได้เปิดคลิปวิดีโอที่นายณัฐชาอ้างว่า จัดทำโดยกองทัพ คลิปวิดีโอที่สอนเป็นคลิปวิดีโอที่หน่วยปฏิบัติการไอโอได้นำเสนอให้ผู้บังคับบัญชา พร้อมตั้งคำถามว่า มีความจำเป็นต้องนำกำลังคน และงบประมาณ มาพีอาร์ และปกป้องนายกฯหรือไม่

นายณัฐชาอภิปรายอีกว่า นอกจากนี้ยังมีเพจอวตาร เพื่อปกป้องนายกฯ และตนยังมีบัญชีรายชื่อทหารที่ทำเพจเฟซบุ๊ก สร้าง Hate Speech และ Fake News เพื่อด้อยค่าผู้เห็นต่างทางการเมือง ข้อมูลที่ตนได้มาจากคนในกองทัพ เพราะทนไม่ไหวต่อการบริหารงานที่ล้มเหลว และเจ็บปวดจากความสูญเสียของคนใกล้ชิด

พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้นำของกองทัพ แทนที่จะให้นายทหารมาสู้กับอริราชศัตรู กลับให้มาเป็นนักเลงคีย์บอร์ดข่มเหงประชาชน ทั้งนี้ตนยังพบบัญชีทวิตเตอร์ ชื่อว่า Narongpan Jittkaewta มีผู้ติดตามราว 3.2 หมื่นคน มีคนติดตามทุกเหล่าทัพ และกรมกอง ที่จะคอยเป็นตัวการสำคัญแชร์ข้อความ Hate Speech และ Fake News

ต่อไปเป็นเอกสารการจัดอบรม ศูนย์ปฏิบัติการข่าวสารกองทัพภาคที่ 2 ที่มีการบอกว่าจะส่งซิมโทรศัพท์ทางไหน และรักษาความปลอดภัยของเอกสารโดยใส่กระเป๋า มีการมอบหมายเพื่อบอกว่าหน่วยไหนทำอะไรบ้าง

เช่น กรมทหารราบที่ 3 ดูเพจจอมยุทธ, กรมทหารราบที่ 8 ดูเพจเรื่องงานไม่ขยับ เรื่องกินตับขอให้บอก, กรมทหารราบที่ 16 ดูเพจชาวไทยร่วมมือ, กรมทหารปืนใหญ่ที่ 3 ดูเพจระดม Teen, กรมทหารปืนใหญ่ที่ 6 ดูเพจอีหยังกะด้อกะเดี้ย, กรมทหารม้าที่ 7 ดูเพจผู้ชายลายพราง, เป็นการมอบหมายกันชัดเจน ถ้าประชาสัมพันธ์งานตัวเองไม่ตั้งชื่อเพจแบบนี้ นี่บ่งบอกว่าผู้บังคับบัญชาไหนสนใจเรื่องใดเป็นพิเศษ

ข่าวสด รายงานเพิ่มเติมว่า การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการสารสนเทศของกองทัพภาคที่ 2 นั้น จะมาอ้างว่าผู้บังคับบัญชาไม่รู้เรื่อง คงไม่ได้ เพราะตามเอกสารที่ได้รับมา พบว่าจะต้องมีการรายงานไปยังผู้บังคับบัญชาทั้งในส่วนที่อยู่ในกองทัพภาคที่ 2 และรายงานไปยังศูนย์การบังคับบัญชาที่อยู่ในกทม. เป็นระยะ ๆ ทั้งรายสัปดาห์ รายเดือน โดยหนึ่งในภาพที่ได้รับมานั้น มีภาพคล้าย ๆ ผบ.ทบ.ร่วมประชุมอยู่ด้วย

นายณัฐชาอภิปรายอีกว่า ในการขอรับงบประมาณ 2565 มีการขอรับงบประมาณในส่วนของการกำลังพลและการดำเนินงาน 3.7 พันล้านบาท โดยมีการระบุลงไปว่าจะนำไปใช้ในการพัฒนาบิ๊กดาต้าแพลตฟอร์มด้านความมั่นคง 1 ระบบ งบประมาณ 361 ล้านบาท

ทำให้น่าสงสัยว่าในการจัดทำพัฒนาบิ๊กดาต้าที่ว่านั้น เพื่อต้องการจะติดตามเพื่อรู้ข้อมูล บุคคลที่ต้องการติดตามที่เป็นทั้งนักการเมือง นักเคลื่อนไหวทางการเมือง มวลชนฝ่ายตรงข้าม ที่อยู่ในฝ่ายที่ต้องติดตามอย่างละเอียดหรือไม่

เพราะก่อนหน้ามีการส่งรายชื่อ รายละเอียด ผู้ที่ถูกติดตามที่เป็นนักการเมืองในพรรคก้าวไกล คณะก้าวหน้า หลายคน เช่น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล นส.พรรณิการ์ วาณิช นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นายรังสิมันต์ โรม โดยเฉพาะนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล นั้นมีการจัดทำบัญชี การติดตาม จากที่ตนได้ข้อมูลมาลงรายละเอียดไปถึง บ้านเลขที่ บุคคลในครอบครัว เบอร์โทรศัพท์ เลขทะเบียนรถ จึงไม่รู้ว่าในงบประมาณที่ขอมา แล้วตัวแทนที่ของบประมาณมาชี้แจงในกรรมาธิการงบประมาณในเรื่องการพัฒนาบิ๊กดาต้า เพื่อต้องการที่จะติดตามให้ละเอียด และเพื่อที่จะรายงานนายให้ลึก มากกว่านี้ใช่หรือไม่

กองทัพภาค 2 แจ้งความ ส.ส.ณัฐชา

ต่อมาในวันที่ 1 กันยายน พล.ต.สวราชย์ แสงผล โฆษกกองทัพภาคที่ 2 กล่าวชี้แจงกรณี นายณัฐชาอภิปรายเรื่องปฏิบัติการไอโอของกองทัพบก โดยนายณัฐชาได้เปิดเอกสารและหลักฐานที่เกี่ยวข้อง โดยอ้างว่าใช้เอกสารของกองทัพภาคที่ 2 เป็นหลักฐานประกอบการอภิปราย ซึ่งกองทัพภาคที่ 2 ขอชี้แจ้งข้อเท็จจริงให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง

  1. กรณีการนำเอกสารมาประกอบการอภิปราย จากการตรวจสอบเอกสารเบื้องต้นพบว่า ไม่ใช่เอกสารจริงโดยพบจุดพิรุธดังนี้

1.1 หนังสือที่นำมาแสดงเป็นหนังสือที่ทำขึ้นในห้วงเดือนมีนาคมถึงเดือนกรกฎาคม 2564 ลายมือชื่อของแม่ทัพภาคที่ 2 ท่านปัจจุบันในหนังสือทั้ง 2 ฉบับ ไม่ตรงกับลายมือชื่อจริง

1.2 นามสกุลของ แม่ทัพภาคที่ 2 ท่านปัจจุบันในหนังสือฉบับหนึ่งพิมพ์ไม่ถูกต้อง

1.3 ลายมือชื่อของ รองแม่ทัพภาคที่ 2 ไม่ตรงกับลายมือชื่อจริง

1.4 มีลายมือชื่อของผู้อำนวยการกองยุทธการกองทัพภาคที่ 2 ที่ลงนามในหนังสือฉบับนั้นซึ่งปัจจุบัน ท่านดังกล่าวได้ปรับย้ายไปดำรงตำแหน่งใหม่แล้วเป็นเวลากว่า 2 ปีเศษตั้งแต่ ตุลาคม 2561 และนามสกุลสะกดไม่ถูกต้อง

1.5 กำลังพลที่เกี่ยวข้องยืนยันว่าไม่เคยมีการจัดทำหนังสือดังกล่าว โดยเมื่อตรวจสอบการออกเลขที่หนังสือแล้วเป็นของกองยุทธการกองทัพภาคที่ 2 ซึ่งเลขหนังสือที่ออกจนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2564 มีเลขหนังสือถึงแค่ลำดับที่ 851 ยังไม่ถึงลำดับที่ 1121 ตามเอกสารที่ผู้อภิปรายนำมาแสดงแต่อย่างใด

1.6 ตามเลขที่คำสั่งที่ปรากฏ (เลขที่ 1107/2564) หน่วยมิได้เคยออกคำสั่งเกี่ยวกับเรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการศูนย์แต่อย่างใด อีกทั้งรายชื่อคณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการสารสนเทศ กองทัพภาคที่ 2 (ศปสท.ทภ.2) ชั้นยศไม่ตรงกับความเป็นจริง เช่น ระดับผู้อำนวยการกอง ซึ่งต้องมีชั้นยศ พันเอก แต่ในเอกสารมีชั้นยศเป็นพันโท ในส่วนของแม่ทัพน้อยที่ 2 ต้องมีชั้นยศพลโท ไม่ใช่พลตรี

1.7 การพิมพ์หนังสือราชการตามระเบียบงานสารบรรณปกติจะมีการตรวจสอบความถูกต้อง ความเป็นระเบียบ รวมถึงการสะกดคำให้ถูกต้องตามหลัก แต่หนังสือฉบับดังกล่าวมีคำผิด แม้กระทั่งชื่อ นามสกุลของผู้ที่ต้องลงนาม จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว

“กองทัพภาคที่ 2 ขอยืนยันว่าเอกสารดังกล่าวข้างต้นถือเป็นเอกสารอันเป็นเท็จ ที่ได้มีการปลอมแปลงทั้งรูปแบบไม่เป็นไปตามระเบียบของทางราชการ รวมทั้งการลงลายมือชื่อไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง หน่วยจึงได้เข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองนครราชสีมา เป็นหลักฐานแล้ว” โฆษกกองทัพภาคที่ 2 กล่าว

พล.ต.สวราชย์กล่าวถึงข้อ 2. ด้วยว่า กรณีมีการอภิปรายว่ามีการเบิกจ่ายเบี้ยเลี้ยงกำลังพลพร้อมทั้งมีคลิปเสียงและรูปภาพประกอบ กองทัพภาคที่ 2 ขอยืนยันว่าหน่วยไม่เคยได้รับการสนับสนุนงบประมาณตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด รวมทั้งไม่ทราบที่มาของคลิปเสียง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปภาพการยืนต่อแถวรับเบี้ยเลี้ยงตามที่กล่าวอ้างนั้น เป็นภาพเก่าของการจ่ายเบี้ยเลี้ยงตามปกติของหน่วยก่อนการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สังเกตได้จากกำลังพล ไม่มีการสวมหน้ากากอนามัย ตามมาตรการที่กองทัพภาคที่ 2 กำหนด จึงเรียนมาเพื่อทราบในข้อเท็จจริง เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด ต่อการดำเนินการของหน่วย ตามรายงานของมติชน