3 ป. ในฉากรัฐประหาร 15 ปี 19 กันยายน

3 ป. ในฉากรัฐประหาร 15 ปี 19 กันยายน

ครบ 15 ปี รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) เข้ายึดอำนาจรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร

เป็นการรัฐประหารครั้งที่ 12 เว้นระยะห่างกับการยึดอำนาจครั้งที่ 11 เมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2534 ครบ 15 ปีพอดี

ฉวยโอกาสที่ “ทักษิณ” นายกรัฐมนตรีคนที่ 23 อยู่ระหว่างการปฏิบัติภารกิจที่สหประชาชาติ (UN)

พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้า คปค.ที่แปลงสภาพเป็นคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ในเวลาต่อมา ได้กล่าวบันทึก จารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ภายหลังการยึดอำนาจว่า

“เราเดินมาเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยถือเท่ากับว่า 15 ก้าวแล้ว หรือ 15 ปีแล้ว ถ้าปล่อยต่อไปอีกเราจะเดินถอยหลัง ถ้าเผื่อเรามาเสียเวลาตรงนี้สักปีหนึ่ง เราจะเดินต่อจากก้าวที่ 15 ไปก้าวที่ 16 17 18 19 แล้วจะเดินไปอย่างถาวร”

“ถ้าปล่อยให้สถานการณ์เลยไปถึงจุดตรงนั้นแล้ว ประชาชนทั้งประเทศจะมีการต่อสู้กันถึงขั้นนองเลือดค่อนข้างมาก ทางคณะปฏิรูปฯ ได้ทราบข่าวสารล่วงหน้าประมาณ 3 วัน ถ้าปล่อยให้สถานการณ์เดินไปถึงจุดคงไม่ได้ เราถึงทำการปฏิรูปวันที่ 19”

ทว่า การรัฐประหาร 19 กันยายน โดย พล.อ.สนธิ เมื่อ 15 ปีที่แล้ว อาจนึกไม่ถึงว่า การทำรัฐประหารวันนั้นสร้างบาดแผลร้าวลึกทางการเมืองไทย ผ่านการชุมนุมใหญ่ขับไล่รัฐบาล ทั้งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)

และคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) จบลงที่ 22 กันยายน 2557

อันเป็นวันรัฐประหาร นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ภายใต้ชื่อว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็น ดุลอำนาจใหม่ ภายใต้กลุ่ม 3 ป.

กลุ่ม 3 ป. นักรบแห่งบูรพาพยัคฆ์ “กลุ่ม 3 ป.” (ป้อม-ป๊อก- ประยุทธ์)

ป้อม – พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
ป๊อก – พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา
ป – พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ในหนังสือ “จุดไม่จบ ช่วงฉากการเมืองไทย 48 – 49” โดยสถาบันพระปกเกล้า หน้าที่ 243 บรรยายถึงกลุ่ม 3 ป. แห่งบูรพาพยัคฆ์ ว่า

“รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 กลุ่มที่ถูกเรียกขานว่า “นักรบบูรพา” หรือ “บูรพาพยัคฆ์” เป็นกลุ่มสําคัญที่กุมกําลังในการเข้าทําการยึดอํานาจรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

นอกจากนั้น ในการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ทหารบูรพาพยัคฆ์ก็กลับมามีบทบาทอีกครั้งจนสามารถสร้าง ฐานอิทธิพลในการเมืองไทยกลายเป็นอีกขั้วอํานาจหนึ่งในกองทัพที่ไม่ได้ขึ้นกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อีกต่อไป สําหรับนายทหารคนสําคัญในกลุ่ม “บรูพาพยัคฆ์” ได้แก่ พล.อ.ประวิตร พลเอก อนุพงษ์ พลเอก ประยทุธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร (อดีตผู้บัญชาการ ทหารบก)

จุดกำเนิด กลุ่ม “บูรพาพยัคฆ์” ที่สยายปีกจนถึงปัจจุบัน พออนุมานได้ว่า ในยุค “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นผู้นำรัฐบาลฝ่ายบริหาร

พรรคไทยรักไทย กุมอำนาจในสภาผู้แทนราษฎร ฝ่ายนิติบัญญัติ 377 เสียง

คุมกลไกความมั่นคง โดยเฉพาะ “กองทัพบก” ก็มีเครือญาติ คุมกำลังคือ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร เป็นผู้บัญชาการทหารบก

ก่อนที่ “พล.อ.ประวิตร” ขยับเข้าไลน์ 5 เสือ ทบ.โดยเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก และเป็นผู้บัญชาการทหารบก คนที่ 34 (1 ตุลาคม 2547 ถึง 30 กันยายน 2548)

“ทักษิณ” กล่าวในคลับเฮาส์ของกลุ่มแคร์ อีก 15 ปี ต่อมาถึงการตั้ง “พล.อ.ประวิตร” เป็น ผบ.ทบ.ทำไมถึงไม่แต่งตั้ง พล.อ.พรชัย กรานเลิศ คู่ชิงเก้าอี้ ผบ.ทบ.อีกคน ว่า

“เข้าใจว่า ตอนนั้น พล.อ.พรชัย กรานเลิศ ยังไม่มาเป็นผู้ช่วย ผบ. มาตอนสนธิ (พล.อ.สนธิ) เป็นผบ.ทบ. ที่ผมเอาป้อมขึ้น เขาเป็นผู้ช่วย ผบ.ทบ. ตอนนั้น พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร เป็นผบ. ไม่อยากครหานาน ว่าเอาญาติขึ้น เขาจบ จปร. ผ่านการรบ ก็ให้เป็นผบ.สส. พล.อ.ประวิตร ก็มาทำเนียบบ่อย”

ทักษิณ โทษตัวเองว่าดูโหงวเฮ้งไม่เป็น จึงไม่รู้ว่า “พล.อ.ประวิตร” จะมาสร้างฐานอำนาจการเมืองจนถึงปัจจุบัน

“มันเป็นความ ดูโหงวเฮ้งไม่เป็น หากฝึกดูโหงวเฮ้งหน่อย วันนั้นก็คงไม่ตั้ง ดูท่าทางก็เรียบร้อยดี คนนี้ โดนพล.อ.เปรมสั่งประจำ เหตุการณ์นัดแล้วไม่มาตามนัด ตอนนั้นเป็นผู้การกรม ที่ปราจีน คนอื่นเขาไม่ออกสักคน แกนำมาคนเดียว เลยถูกจับได้ ว่านำมาก็ถูกพล.อ.เปรม ประจำ ก็ให้เขาจากประจำ มาเป็นแม่ทัพภาค 1”

“เขากองเชียร์เยอะมาก มีนายวัฒนา เมืองสุข ซึ่งเป็นส.ส.ปราจีน ในขณะนั้น ก็มาเชียร์ พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร ก็มาเชียร์ ผมไม่ค่อยรู้จักเขา ก็รู้ว่าเป็นพี่ชายของรุ่นพี่ผม คือ พล.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รู้จักกันดี ก็เลยตั้ง”

ดังนั้น การที่ “ทักษิณ” แต่งตั้ง “พล.อ.ประวิตร” ก็คือจุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ ส่งผลทางการเมืองมาจนถึงปัจจุบัน

เพราะ “พล.อ.ประวิตร” เป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่ ฉุด “พล.อ.สนธิ” นักรบหมวกแดง “สายรบพิเศษ” ขึ้นดํารงตําแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 6 ทั้งที่อยู่นอกไลน์

ขณะเดียวกันภายหลัง “พล.อ.ประวิตร” ดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. อยู่ในจุดสูงสุดของกองทัพบก เขาได้ดึง พล.อ.อนุพงษ์ จากตำแหน่งผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) มาเป็นผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.ร.1 รอ.)

ก่อนที่ พล.อ.อนุพงษ์ เตรียมทหารรุ่น 10 รุ่นเดียวกับ “ทักษิณ” จะก้าวขึ้นสู่การเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 คุมกำลังยึดอำนาจในเมืองหลวง ทั้งที่ “ทักษิณ” ก็เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 ในเวลาต่อมาจึงมีการพูดจากันว่า “พล.อ.อนุพงษ์” หักหลัง “ทักษิณ”

และก่อนเกษียณอายุราชการ “พล.อ.ประวิตร” ได้ดึง ป.ที่ 3 คือ “พล.อ.ประยุทธ์” จาก พล.ร.2 รอ. มาเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1

ขุมกำลังการยึดอำนาจ ของ พล.อ.สนธิ จึงมี “กลุ่มบูรพาพยัคฆ์” เป็นกองกำลังสำคัญในค่ำคืนปฏิวัติ มีเรื่องเล่าภายหลังการยึดอำนาจว่า เนื่องจากทหารที่เคลื่อนกำลังมายึดอำนาจมาจากต่างจังหวัดเป็นส่วนใหญ่ เมื่อถึงชั่วโมงยึดอำนาจ บางส่วนจึง “หลงทาง” ทักษิณ เกือบอ่านคำสั่งปลด “พล.อ.สนธิ” ข้ามทวีปเกือบสำเร็จ

ใหนังสือ ลับ ลวง พราง ปฏิวัติปราสาททราย ของสำนักพิมพ์มติชน เขียนโดยวาสนา นาน่วม อ้างคำพูด พล.อ.สนธิ เอ่ยถึง “พล.อ.อนุพงษ์” ว่าปัจจัยความสำคัญของการยึดอำนาจ

“ลูกน้องผมคนนี้ช้ันหนึ่ง ผมบอกว่าเราจําเป็นต้องปฏิวัติ ผมบอกแค่น้ี ป๊อกเขาไม่พูดอะไรเลยนอกจาก ‘ครับ’ แล้วก็ย้ิมอย่างเดียว ไม่ถามอะไรแล้วทุกอย่างก็เรียบร้อย ทุกวันน้ีผมยังมั่นใจในตัวเขา เพราะเขา ไม่กลัวตาย”

หลังการยึดอำนาจ พล.อ.สนธิ ต้องตัดสินใจ ครั้งสำคัญ หาคนที่มาสืบทอดตำแหน่ง ผบ.ทบ.แทนตัวเอง ขณะนั้นมีแคนดิเดตสำคัญ 2 คน คือ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร กับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา

ที่สุดแล้ว “พล.อ.สนธิ” ตัดสินใจส่งไม้ต่อให้ พล.อ.อนุพงษ์ แห่งเตรียมทหารรุ่น 10 น้องรัก “พล.อ.ประวิตร” ได้เป็น ผบ.ทบ.สานต่อบูรพาพยัคฆ์ – ทหารเสือราชินี

ทั้งที่ “พล.อ.สพรั่ง” เป็นเตรียมทหารรุ่น 7 อาวุโสกว่า “พล.อ.อนุพงษ์” แต่หากย้อนดูเส้นทางอำนาจของ พล.อ.สนธิตอนที่ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ก็มี “พล.อ.ประวิตร” เป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญ

เมื่อ พล.อ.อนุพงษ์ ก้าวขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ก็ดึงรุ่นน้อง ป.ประยุทธ์ เข้าอยู่ในไลน์อำนาจ และสืบทอดตำแหน่งกระทั่งเกิดการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557

ขุมอำนาจ 3 ป. ยิ่งใหญ่จนถึงปัจจุบัน พล.อ.ประวิตร กลายเป็น “พี่ใหญ่” ทั้งในรัฐบาล – พรรคพลังประชารัฐ

พล.อ.อนุพงษ์ อยู่ในตำแหน่ง มท.1 รมว.มหาดไทย มาแล้ว 7 ปี

พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี จนถึงปัจจุบัน