พลังประชารัฐไมเนอร์เชนจ์ เปิดพรรคใหม่ ในรอยร้าว “ประยุทธ์-ประวิตร”

รายงานพิเศษ

ภาพความขัดแย้งระหว่างพี่-น้อง 3 ป. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ยังทิ้งร่องรอยความ “ร้าวฉาน” ไว้บนความสัมพันธ์แห่งอำนาจกว่า 40 ปี

“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี สร้าง “ฐานอำนาจใหม่” บนหอคอยงาช้าง-ตึกไทยคู่ฟ้า ส่วน “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ “ค้ำยันอำนาจ” บนฐานที่มั่น ส.ส. 122 ชีวิต

“พล.อ.ประยุทธ์” สร้างค่ายคูประตูหอรบในทำเนียบรัฐบาล รายล้อมไปด้วยคณะที่ปรึกษาเศรษฐกิจ-เสนาบดีโควตาพิเศษ ขุนทหาร-เสธ.ตึกไทยคู่ฟ้า ประจำการ “กุนซือการเมือง” สนธิกำลังกับ “นักการเมืองพันธุ์พิเศษ” ที่มีแสงสว่างในตัวเอง

มรสุมจากโควิด-19 ที่ทิ้งแผลเป็นทางเศรษฐกิจ และ “ม็อบดินแดง” ส่งผลต่อ “แบรนด์” พล.อ.ประยุทธ์ จาก “เลือกความสงบจบที่ลุงตู่” สู่วาทกรรม “พลิกโฉมประเทศ” ไม่สามารถวางขายได้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า

ขณะที่ “ยี่ห้อพลังประชารัฐ” ที่มี “ภาพติดลบ” จับกลุ่ม-ตั้งก๊วน “ต่อรองตำแหน่ง” วันดีคืนดี “หัวหน้ามุ้ง” ลุกขึ้นมา “หักเหลี่ยมกันโหด” พลังประชารัฐ-รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ต้องตกอยู่ใน “วิกฤตซ้อนวิกฤต” ในการเลือกตั้งครั้งหน้าไม่ต่างกัน

ประยุทธ์-ประวิตร แยกกันเดิน

“พล.อ.ประยุทธ์” ต้องถีบถอยไม่ยุบสภา-อยู่ครบวาระ และอาศัยจังหวะชิงลงพื้นที่ฐานเสียงพลังประชารัฐที่มีตำแหน่งแห่งที่ในรัฐบาล-คณะรัฐมนตรี (ครม.) นับจากนี้อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 30 ครั้ง

ปักธงในพื้นที่ฐานเสียงของ “แกนนำชั้นใน” เริ่มจากฐานที่มั่นของ “กลุ่มสามมิตร” สมุทรปราการ-ชัยนาท-สุโขทัย ที่มี “เสี่ยแฮงค์” อนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี-ส.ส.ชัยนาท และ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” อดีต ส.ส.สุโขทัยรุ่นเก๋า-รมว.ยุติธรรม เป็นนักรบเงา-ข้างกาย พล.อ.ประยุทธ์

รวมถึงฐานที่มั่นของบ้านใหญ่คุณปลื้ม-จังหวัดชลบุรี ที่มี “อิทธิพล คุณปลื้ม” รมว.วัฒนธรรม น้องชาย “เสี่ยแป๊ะ” สนธยา คุณปลื้ม และ “กลุ่มชลบุรีใหม่” ของ นายสุชาติ ชมกลิ่น ส.ส.ชลบุรี-รมว.แรงงาน เป็น “ขุนพลตะวันออก” ต่อด้วย 22 กันยายน มีคิวลงพื้นที่เพชรบุรี ตรวจราชการ ซึ่งเป็นพื้นที่ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ยกจังหวัด

ขณะเดียวกันพรรคแกนนำรัฐบาล-พลังประชารัฐ “ผู้กองธรรมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ที่ถูก พล.อ.ประยุทธ์ “ปลดฟ้าผ่า” พ้นจาก รมช.เกษตรและสหกรณ์ มาพร้อมกับประกาศิต “บิ๊กป้อม” สั่ง ส.ส.ลงพื้นที่ช่วงปิดสมัยประชุมสภา เตรียมเลือกตั้งในปีหน้า

ขณะเดียวกันพลังประชารัฐได้ดึง “บิ๊กน้อย” พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา “น้องรักบิ๊กป้อม” มานั่งประธานกรรมการยุทธศาสตร์พรรค นอกจากมาสยบอิทธิฤทธิ์กลุ่ม-ก๊วนต่าง ๆ แล้ว ยังจะเข้ามาเป็น “มันสมอง” ของพรรคผลิตนโยบายเปิดจุดแข็ง-ปิดจุดอ่อนสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า

“คีย์แมนกลุ่มมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดอีกรายหนึ่ง” กล่าวถึงความเปลี่ยนแปลง-พลิกโฉมพลังประชารัฐ ให้ทันสมัย-ไมเนอร์เชนจ์ หลังจาก “บิ๊กน้อย” พล.อ.วิชญ์ เข้ามาเป็นประธานกรรมการยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐว่า

เร็ว ๆ นี้ พล.อ.วิชญ์จะดึงเครือข่ายเข้ามาเป็นคณะทำงานระดับมันสมอง (think thank) ในทุกมิติ เพื่อคิดนโยบายในการเลือกตั้งครั้งหน้า โดยคนที่จะมาเป็น think thank จะมีคนทุกระดับชั้น-ทุกช่วงวัย ตั้งแต่เจน X-Y-Z เพื่อดึง “กล่องดวงใจ” ของเกษตรกร คนชั้นกลาง-มนุษย์เงินเดือน ผู้ประกอบการภาคธุรกิจ มาผลิตเป็นนโยบายเศรษฐกิจ-สังคม

“หลังจากนี้จะไม่มีกลุ่ม ไม่มีก๊วน พลังประชารัฐจะแบ่งหน้าที่ชัดเจน ส.ส.ทำหน้าที่ ส.ส. เป็นปากเสียงให้กับประชาชนในสภา ทำหน้าที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ”

พรรคพลังประชารัฐหลังจากนี้จะมี regulator เพื่อจัดระบบ-ระเบียบภายในพรรคให้เข้ารูปเข้ารอย เดินหน้าพรรคอย่างมีทิศทาง-มียุทธศาสตร์ ไม่ให้ ส.ส.ต่างคน-ต่างเดิน ไม่ให้มีการจับกลุ่ม-ตั้งก๊วน ต่อรองตำแหน่งภายในพรรคอีกต่อไป

นอกจาก “บิ๊กน้อย” พล.อ.วิชญ์ “น้องรักบิ๊กป้อม” ที่ พล.อ.ประวิตรดึงเข้าพรรคพลังประชารัฐ “ผนึกกำลัง” เป็น “ทีมบิ๊กป้อม” แล้ว ยังมี “มือประสาน” ประสาน หวังรัตนปราณี กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี “มือกฎหมาย” ข้างกาย พล.อ.ประวิตร เข้ามาช่วย “พี่ป้อม” เต็มตัวในฐานะ 1 ใน 5 อรหันต์ “ผู้วางกฎ”

โดยมี “ตัวทำเกม” “ไพบูลย์ นิติตะวัน” รองหัวหน้าพรรค-ส.ส.บัญชีรายชื่อพลังประชารัฐ “นั่งหัวโต๊ะ” ผู้คุมกฎในคณะกรรมการกฎหมายและข้อบังคับพรรคพลังประชารัฐ

ไมเนอร์เชนจ์พลังประชารัฐ

“บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร จึงถือว่าคุมอำนาจภายในพลังประชารัฐเบ็ดเสร็จ ส่งมือดี-ขุนพลรู้ใจ เข้ามาทำงานคู่ขนานกับการ “ไมเนอร์เชนจ์” พลังประชารัฐใหม่ ไม่เพียงแต่แต่งหน้า-ทาปาก แต่เข้ามาวางระบบนำพาพรรคชนะเลือกตั้งครั้งหน้า

“คำถามตัวโต” คือ “พล.อ.ประยุทธ์” กับ “พล.อ.ประวิตร” หลังจากนี้ “แยกกันเดินรวมกันตี” เพื่อรองรับกติกาเลือกตั้งบัตร 2 ใบ หรือเป็นทางแยก-ทางคู่ขนาน ไม่มีวันตัดมาบรรจบกันอีก

แต่ในข้อเท็จจริง “แกนนำพลังประชารัฐระดับสูง” ยังคิดไม่ตกว่า ทำอย่างไรไม่ให้กระแสพรรคตกต่ำไปตามกระแสของรัฐบาล !

“แกนนำกลุ่มบิ๊กป้อม” รายหนึ่งระบายความอึดอัดหลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ปลด ร.อ.ธรรมนัสแบบไม่ไว้หน้าว่า รัฐบาลต้องเกรงใจพรรค มีที่ไหนพรรคการเมืองเกรงใจรัฐบาล และ พล.อ.ประยุทธ์ สมาชิกพรรคยังไม่ได้เป็นเลย

“การที่ พล.อ.ประยุทธ์จะปลด ร.อ.ธรรมนัสออกจากความเป็นรัฐมนตรีก็เป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรี แต่การจะตั้งหรือไม่ตั้งใครเป็นเลขาธิการพลังประชารัฐเป็นเรื่องของพรรค และการที่ ร.อ.ธรรมนัสเป็นเลขาธิการพรรค แต่ไม่ได้เป็นรัฐมนตรีก็ทำงานให้พรรคได้ และยังทำให้มีเวลาช่วยงานพรรคมากขึ้นด้วย”

อย่างไรก็ตาม “จุดตัด” ทางการเมืองครั้งสำคัญ คือ บทบาทของ “บิ๊กฉิ่ง” ฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย หลังจากเกษียณในวันที่ 30 กันยายน 2564 จะแตก “พรรคน้องเล็ก” ขึ้นมาเป็น “พรรคสำรอง” ไว้รองรับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ “พล.อ.ประยุทธ์” หรือไม่ หรือเป็นเพียง “พรรคลูก” ที่มีพลังประชารัฐเป็น “พรรคแม่” เพื่อแชร์ส่วนแบ่งจาก “บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ”

ระหว่างนี้ความขัดแย้งของ พล.อ.ประยุทธ์-พล.อ.ประวิตร อาจจะถูกกลบด้วยภาพพี่-น้อง “ฆ่าไม่ตาย ขายไม่ขาด” แต่อาจไม่ถึงขั้นลาโรงไปจากสารบบแห่งอำนาจบทใหม่ 3 ป. อย่างเร็วที่สุดไม่เกินการเลือกตั้งครั้งหน้า

เมื่อ “พรรคพี่ใหญ่” พลังประชารัฐ ต้องเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ “ชื่อเดียว” เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี หรือพ่วงชื่อ “พล.อ.ประวิตร” เป็น “คู่เทียบ” เป็น (ว่าที่) เจ้าของบัลลังก์ประมุขตึกไทยคู่ฟ้า

ความขัดแย้งระหว่าง “พล.อ.ประวิตร” กับ “พล.อ.ประยุทธ์” ที่ถูกซุกอยู่ใต้พรม-ก้นบึ้งของหัวใจพี่-น้อง 3 ป. จะถูกเขียนสคริปต์ไว้แล้วให้รักใคร่-กลมเกลียว ณ ตึกภักดีบดินทร์ หรือเป็นฉากละครโรงใหญ่ที่ถูกออร์แกไนซ์ให้เป็น “ภาพลวงตา” เท่านั้น