2565 ปีแห่งการแจกกล้วย ประเสริฐ เพื่อไทย : ลิงเป็นใหญ่ ขี่คอรัฐบาลประยุทธ์

สัมภาษณ์พิเศษ
ณัฐวุฒิ กรัณยโสภณ

เข้าสู่ช่วงปีสุดท้ายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก่อนครบวาระ 4 ปีในเดือนมีนาคม 2566

ปี 2565 จึงมีความหมายสำคัญ ชี้ขาดว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะประคองรัฐนาวาไปถึงฝั่งเส้นชัยปี 2566 หรือจะอับปางในปี 2565

“ประชาชาติธุรกิจ” สนทนากับ “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” เลขาธิการพรรคเพื่อไทย พ่อบ้านคนสำคัญในพรรคแกนนำฝ่ายค้าน

เขาวิเคราะห์ว่า รัฐบาลอยู่ไม่ครบ 4 ปี และการเมืองปี 2565 จะเป็นปีที่รัฐบาลต้องเผชิญศึกรอบด้าน และต้องเจอกับเกม ต่อรอง-แจกกล้วย รวมถึงความพร้อมของพรรคเพื่อไทย เตรียมตัวที่จะเข้าสู่การเลือกตั้งในวันข้างหน้า

สารพัดวิบากกรรม

ประเสริฐเริ่มต้นวิเคราะห์ปัญหารัฐบาลในปี 2565 ว่า ยังต้องเจอวิบากกรรมอีกหลายอย่าง หนึ่ง เรื่องการบริหารงานของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ถือว่ายังไม่ประสบความสำเร็จ ยังมุ่งเน้นการช่วยเหลือด้านเงิน แต่แทนที่รัฐบาลจะเริ่มช่วยเหลือด้านโครงสร้างบางเรื่องที่จำเป็นแล้ว ไม่ใช่ว่าเอาปลามาให้ ต้องแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม จะใช้วิธีให้เงินให้ทองอย่างเดียวไม่ได้แล้ว

Advertisment

สอง ปัญหาพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งเรายังเชื่อว่ารวมกันอยู่ด้วยภายใต้ผลประโยชน์ เมื่ออยู่ด้วยกันมานาน เริ่มเบื่อกันแล้วก็พร้อมแตกหักกันได้ ที่จะชี้ให้เห็นคือการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ในต้นปี 2565 พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ก็ส่งผู้สมัคร จะเกิดความขัดแย้งกัน

สาม ปัญหาสภาล่มก็เป็นเรื่องใหญ่ วันนี้รัฐบาลไม่สามารถทำให้สภาเดินหน้าไปด้วยความราบรื่นได้ เมื่อสภาเดินหน้าลำบาก ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลไม่สามารถรักษาองค์ประชุมไว้ได้เลย เมื่อสภาเดินหน้าลำบาก การทำงานที่สำคัญต่าง ๆ ไม่ว่าเรื่องการผ่านร่างกฎหมายสำคัญ ๆ เริ่มมีปัญหา ไม่ได้ผ่านง่าย ๆ

ดังนั้น 2-3 เรื่องที่บอกมาไม่ได้ผ่านง่าย ๆ เป็นอุปสรรค โดยเฉพาะกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ถ้ากฎหมาย 2 ฉบับนี้มีผลบังคับใช้ทันทีจะเป็นตัวเร่งให้มีการเลือกตั้งเร็วขึ้นตามกติกาใหม่

แม้คำว่า “ผลประโยชน์” ยังค้ำคออยู่ แต่ “พ่อบ้านเพื่อไทย” เชื่อว่ารอยร้าวในพรรครัฐบาลจะยิ่งเยอะขึ้น

Advertisment

“พรรคร่วมรัฐบาล อยู่กันมา 3 ปีกว่า เวลาพอสมควรแล้ว เหมือนจะไม่ทนกันแล้ว เพราะกระทบกระทั่งกันมานานแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ต้องประคับประคอง หวานอมขมกลืนไปด้วยกัน”

ตอนพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำรัฐบาลไม่เคยเจอสภาพอย่างนี้ ตอนนั้นเราประกอบรัฐบาลแค่ 2-3 พรรค เพราะพรรคแกนนำรัฐบาลใหญ่มาก แต่ปัจจุบันมีถึง 18 พรรค สถานการณ์ไม่เหมือนกัน ดังนั้น การเอาใจพรรคร่วมรัฐบาล 18 พรรค มันไม่ง่าย

และตัวพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นพรรคหลัก ยังมีข้อขัดแย้งภายในอยู่ ดังนั้น การขับเคลื่อนยังต้องเจอวิบากกรรมหลายเรื่อง ในปี 2565 ซึ่งต่างประเทศเขาพูดถึงการแก้ไขเศรษฐกิจหลังโควิด-19 ว่าจะทำให้ประเทศเป็นอย่างไร แต่ไทยยังสารวนอยู่กับปัญหาภายในประเทศอยู่เลย เป็นปัญหาที่รัฐบาลปี 2565 ไม่ง่าย

ปีแห่งการแจกกล้วย

แต่ถ้ารัฐบาลยังฝืนสังขาร ลากรัฐนาวาให้ถึงฝั่ง “ประเสริฐ” บอกแผนฝ่ายค้านว่าจะมีการยื่นอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ชี้ให้เห็นถึงปัญหาและให้ข้อเสนอแนะรัฐบาลโดยไม่ลงมติ ฝ่ายค้านจะยื่นหลังปีใหม่

หลังจากนั้นถ้าอยู่ได้อีก ต้องยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 แต่บทเรียนของการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจคราวที่แล้ว เพิ่งเห็นครั้งแรกที่มีข่าวอื้อฉาวเรื่องการจ่ายเงินจ่ายทอง ผมเป็น ส.ส.มาตั้งแต่ปี 2544 อยู่มา 20 กว่าปี เพิ่งมีคราวที่แล้วที่ก่อนโหวตต้องมีการจ่ายเงินจ่ายทองกัน

ที่สำคัญคือ ยังมีภาพของสภาล่ม สภาเดินหน้าลำบาก การจะยุบสภาต้องดูว่าไม่ผ่านกฎหมายการเงินคือ กฎหมายงบประมาณ สอง เรื่องสภามีข้อขัดแย้งกันเองอย่างรุนแรง ขัดแย้งกับฝ่ายบริหาร และสาม สภาเดินหน้าไม่ได้ ประชุมกี่ทีก็ล่ม หรืออย่างน้อยเดือนหนึ่งล่ม 2 ครั้งก็เจ๊งแล้ว

ปี 2565 จึงเป็นวิบากกรรมของประยุทธ์ และอาจจบไม่สวย ทั้งที่อยากอยู่ครบเทอม 2566 แต่มีไทม์ไลน์แบ่งคือเรื่องการประชุมเอเปก และผ่านงบประมาณ คาดว่ารัฐบาลต้องพยายามไปให้ถึง

และถ้าอ่านใจพรรคเล็กจะต้องมีการต่อรองจากพรรคเล็ก เพราะเมื่อรัฐธรรมนูญเปลี่ยนแล้ว การดำรงสถานะของพรรคเล็กจะยากขึ้น พรรคเล็กจะต่อรอง ลิงต้องเป็นใหญ่ เป็นปีแห่งการแจกกล้วย เพราะถ้ารัฐบาลอยากอยู่ต่อก็ต้องแจกกล้วย

มั่นใจรัฐบาลไม่ครบ 4 ปี

พ่อบ้านเพื่อไทย ประเมินว่า “พล.อ.ประยุทธ์” อยู่ไม่ครบ 4 ปีแน่นอน

เรามั่นใจว่าอย่างไรก็อยู่ไม่ครบ ส่วน พล.อ.ประยุทธ์จะลงยังไง เขาคงอยากอยู่นานที่สุด แต่สิ่งที่เขาทำมาตั้งแต่ยุค คสช. จนมาถึงวันนี้ ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงประเทศที่เป็นรูปธรรมเลย ทั้งปฏิรูปตำรวจ ปฏิรูปการเมือง การศึกษา ยังไม่มีเลย ตัวอย่างเช่น การปฏิรูปตำรวจ 7 ปี ยังไม่จบเลย ทั้งที่รัฐธรรมนูญ 2560 บังคับใช้แล้ว จะต้องมีกฎหมายตำรวจภายใน 1 ปี แต่นี่ผ่านมา 4 ปีแล้ว กฎหมายตำรวจยังประชุมกันอยู่เลย

ถามว่าปฏิรูปการเมืองดีขึ้นไหม…ไม่ได้ดีขึ้นเลย การซื้อเสียงยังปรากฏไปทั่ว และหนักกว่าเก่า และคนที่ทำกลับเป็นฝ่ายที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เสียเอง เรื่ององค์กรอิสระก็ไม่ได้ชี้ให้เห็นว่าเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน ประชาชนยังเคลือบแคลงสงสัย ที่มาที่ไป มาจากยุคที่ พล.อ.ประยุทธ์ตั้งทั้งนั้น และมีอะไรที่สำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันในสมัย พล.อ.ประยุทธ์บ้าง

ภาพจำ พล.อ.ประยุทธ์คืออะไร ที่เอาสวย ๆ นะ ไม่ใช่ให้ไปเลี้ยงไก่ หรือขายสินค้าเกษตรบนดาวอังคาร ผมพยายามนึกนะ นึกไม่ออก ยาเสพติดก็ยิ่งหนัก แล้วบอกว่าวันที่เข้ามาบอกว่าจะแก้ไขปัญหาประเทศ เห็นคนสมัครสมานสามัคคีมีความสุข มีแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี หลายฝ่ายเห็นว่าล้าหลัง โลกเปลี่ยนเร็ว

หวังเข้าเส้นชัย 200 ที่นั่ง

เมื่อประเมินว่ารัฐบาลอาจไม่ถึงฝั่ง พรรคเพื่อไทยจึงเตรียมพร้อมรับมือเลือกตั้งเร็ว “ประเสริฐ” กล่าวว่า เราเตรียมไว้แล้ว เพราะดูแล้วว่าสถานการณ์การเมืองพร้อมมีอุบัติเหตุได้ตลอด พรรคเพื่อไทยต้องเตรียมพร้อมในการเลือกตั้งทุกนาที เราเตรียมคน ผู้สมัคร ส.ส. และเตรียมนโยบายหาเสียงไว้แล้ว ไม่ว่าเลือกตั้ง 3-4 เดือนข้างหน้า เราพร้อมหมด

ส่วนหลักการคัดคนลง ส.ส.เขต เรายึดบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ เป็นบุคคลที่ประชาชนยอมรับ ขยันลงพื้นที่ ประชาชนรู้จัก และต้องยึดมั่นในอุดมการณ์พรรคเพื่อไทย และต้องยึดโยงกับประชาชนส่วน ส.ส.บัญชีรายชื่อ จะเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ

และที่สำคัญคือ จากจำนวน ส.ส.ที่เพิ่มขึ้นในระบบเขตเลือกตั้ง 50 คน ถ้าเอาผลเลือกตั้งปี 2562 มาจับ ที่เราเคยได้ 132 คน เลือกตั้งครั้งต่อไปเราจะได้ ส.ส. 150 คน และปาร์ตี้ลิสต์จากเดิมที่ไม่เคยได้เลย ปาร์ตี้ลิสต์เราน่าจะได้สัก 50 เพราะการเลือกตั้งครั้งก่อนเราต้องเสียให้กับพรรคไทยรักษาชาติ ภาคใต้เราไม่ได้คะแนน ฉะเชิงเทราก็ไม่มีคะแนน เพราะตระกูลฉายแสงไปลงไทยรักษาชาติ ครั้งนี้กลับมาหมดแล้ว ไม่รู้นะ…เราไปถึงเส้น 200 เสียงได้

จึงบอกว่ายุทธศาสตร์แลนด์สไลด์เป็นไปได้ วันนี้ถ้าลงพื้นที่ ชาวบ้านพูดเลยว่า “ต้องแลนด์สไลด์” คำนี้อยู่ในใจคนไปแล้ว เพราะชาวบ้านมองไม่เห็นความเป็นธรรม โดยเฉพาะเรื่องที่ ส.ว.มาโหวตนายกฯได้ แต่ชาวบ้านเขารู้หมด เพราะเขาต้องการให้คนนี้มาเป็นนายกฯ ทว่า วิธีการที่เขาจะเอาคนที่อยู่ในใจเขาเป็นนายกฯ ต้องแลนด์สไลด์

ชาวบ้านอยากเปลี่ยนประยุทธ์

ถาม “ประเสริฐ” ว่า เป้าหมายแลนด์สไลด์คิดบนพื้นฐานอะไร เขาตอบว่า การเรียกร้องของประชาชน ที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง มาถึงจุดที่คนอยากเปลี่ยน พล.อ.ประยุทธ์แล้ว คนไม่เอาแล้ว เขาอยากเปลี่ยนคนใหม่

เพราะปัญหาที่เขาเผชิญหน้าในยุคหลังโควิด-19 ไม่ได้แสดงผลฝีมือให้เห็นชัด ๆ เลยว่าจะแก้อย่างไร ชาวบ้านอยากเห็นคนที่เป็นอัศวินม้าขาวเข้ามาแก้ หมดเวลา พล.อ.ประยุทธ์แล้ว

จริงอยู่มีคนชอบเรื่องการแจกเงินของรัฐบาล แต่สิ่งที่คนอยากเห็นคือ การที่ประเทศเดินหน้าทางด้านเศรษฐกิจได้ วันนี้ในหมู่บ้าน แรงงานที่ตกงานกลับไปบ้านหมด และยังไปใช้ชีวิตแบบ…ผมว่าคนไม่มีเงินนะ

ดังนั้น ยุทธศาสตร์ฝ่ายประชาธิปไตยก็ยังเป็นจุดหนึ่งที่พูดได้ แต่สิ่งที่พรรคเพื่อไทยต้องมีเพิ่มคือ เรื่องการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งที่ผ่านมาปรากฏให้เห็นแล้วว่าพรรคเพื่อไทยสามารถทำได้ แถลงนโยบายไปแล้วปฏิบัติได้ และประชาชนได้ประโยชน์จริง เชื่อว่าประชาชนจะคอยพรรคเพื่อไทยกลับมาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ส่วนจุดยืนพรรคเพื่อไทย ทุกคนทราบอยู่แล้วว่าพรรคยืนอยู่ข้างประชาธิปไตยอยู่แล้ว

ขณะที่พรรคคู่แข่งฝ่ายประชาธิปไตยอื่น ๆ จะ “ตัดแต้ม” พรรคเพื่อไทยหรือไม่ “ประเสริฐ” อ่านทิศทางว่า เราไม่ได้สู้เชิงอุดมการณ์อย่างเดียว แต่สู้นโยบายที่จับต้องได้ด้วย เราคิดว่าการเลือกตั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้น นโยบายดี ๆ ของพรรคเพื่อไทย อยากให้ประชาชนคอยดู แต่ยังไม่เปิดตอนนี้

แล้วคู่แข่งต่างขั้วอย่างพรรคพลังประชารัฐ เขาไม่ขอเปรียบเทียบ

“เราไม่อยากเปรียบเทียบกับใคร แต่เราอยากนำเสนอในสิ่งใหม่เท่านั้นเองที่จะนำเสนอให้พี่น้องประชาชน เรามอง พล.อ.ประยุทธ์เป็นของเก่าที่ไม่มีใครอยากได้ไปแล้ว ถ้าเอา พล.อ.ประยุทธ์อีกก็ได้แบบเก่า ถ้ารวมปี 2565 ก็ 8 ปีแล้ว ไม่มีอะไรเปลี่ยน”

ขอสู้เพื่อปิดสวิตช์ประยุทธ์

เมื่อถามถึงต้องได้เสียงเท่าไหร่ถึงจะปิดสวิตช์ “ประยุทธ์” ได้ ประเสริฐยอมรับว่าต้องสู้อีกนาน

ต้องได้ 375 เสียง สมมุติเพื่อไทย 200 เสียง ส่วนพรรคฝ่ายประชาธิปไตยรวมกันแล้วน่าจะถึงครึ่งของ ส.ส. แต่ยังขาดอีกร้อยกว่าเสียง ก็ต้องดูการเมืองว่าพรรคประชาธิปัตย์ กับภูมิใจไทยเอาอย่างไร ก็ไม่พ้นสูตรนี้ เพราะรัฐธรรมนูญเป็นอย่างนี้ ไป ๆ มา ๆ พล.อ.ประยุทธ์วางแผนการสืบทอดอำนาจต่อ บ้านเมืองถึงมีปัญหา ถ้าเป็นธรรมประชาชนรอได้ คอย 4 ปี จะเอาคุณ ไม่เอาคุณก็แล้วแต่

“แต่เมื่อเอาเปรียบทุกอย่างก็ต้องลุกขึ้นมาสู้ พล.อ.ประยุทธ์อ้างกฎหมายฟังไม่ขึ้นหรอก…ต้องเหนื่อย ต้องสู้อีกนาน แต่เราก็ไม่ยอม”