อภิปรายทั่วไป: จิราพร ซัด ประยุทธ์ ยอมคิงส์เกต คืนเหมืองทองคำให้ต่างชาติ

จิราพร สินธุไพร จี้ ประยุทธ์ แจงปมเหมืองทองอัครา ยอมคืนเหมืองให้ต่างชาติ แต่ไม่คืนอำนาจให้คนไทย เชื่อนายกฯ ยอมเพราะกลัวศาลตีความ ม.44 สุดท้ายอาจต้องขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ

วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2565 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ในวันที่ 2 ซึ่งฝ่ายค้านพุ่งเป้าอภิปรายการบริหารราชการแผนดิน แก้ปัญหาเรื่องโควิด-19 ยาเสพติด การรั่วไหลของน้ำมันบริเวณอ่าวไทย เหมืองทองอัครา

ทั้งนี้ ในช่วงเช้า น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย อภิปรายปมเหมืองทองอัครา ว่า พล.อ.ประยุทธ์ นอกจากจะหลงในอำนาจ ยังหลงตัวเองที่กล้าเอาตัวเองไปเปรียบกับพระราม เพราะพระรามมีลูกสมุนเป็นลิง ต้องเลี้ยงด้วยกล้วย สถานการณ์อาจคล้ายกับที่เผชิญอยู่จึงเอาตัวเองไปเทียบแบบนั้น

กรณีเหมืองทองอัคราถูกเลื่อนมาแล้ว 3 ครั้ง แต่ครั้งล่าสุดเลื่อนไปไม่มีกำหนด สรุปในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีการเลื่อนการชี้ขาดไม่ต่ำกว่า 4 ครั้ง ถาม พล.อ.ประยุทธ์ ว่าเลื่อนแต่ละครั้งใครเป็นคนขอเลื่อน เลื่อนเพราะอะไร เลื่อนแล้วใครได้ประโยชน์ ใครเสียประโยชน์ เพราะมีข้อสังเกตว่าทุกครั้งที่มีการเลื่อนคำชี้ขาด ประเทศไทยก็ทยอยคืนสิทธิการทำเหมือง เพิ่มพื้นที่สำรวจแร่ทองคำ และให้สิทธิอื่น ๆ เกือบทุกครั้ง

ต่อมาตั้งแต่ราชอาณาจักรไทยถูกบริษัทคิงส์เกตฟ้องร้อง ยังไม่มีการชี้แจงว่าบริษัทคิงส์เกตฟ้องร้องประเทศไทยในประเด็นใดบ้าง เรียกร้องค่าเสียหายทั้งหมดเท่าไหร่ จึงต้องไปเทียบเคียงกับกรณีเหมืองทองประเทศเวเนซุเอลา ซึ่งหากแพ้คดี ประเทศไทยต้องเสียค่าเสียหาย 3 หมื่นล้านบาท ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่าแค่คาดเดาไปเอง แต่ขอถามว่าทำไมไม่กล้าชี้แจง หรือเปิดปากพูด หรือแท้จริงแล้วเสียหายมากกว่า 3 หมื่นล้าน

และอย่ามากล่าวอ้างว่าตอบไม่ได้ เพราะเป็นความลับที่อนุญาโตตุลาการไม่กล้าเปิดเผย เพราะถ้าดูในแถลงการณ์ของบริษัทคิงส์เกต ที่แจ้งต่อตลาดทรัพย์ออสเตรเลีย เมื่อ 27 มีนาคม 2561 บอกว่า อนุญาโตตุลาการ มีคำสั่งให้กระบวนการพิจารณาเป็นความลับ เว้นแต่การเปิดเผยนั้นเป็นไปตามการทำหน้าที่ตามกฎหมาย แสดงว่าที่ผ่านมา ถ้าเป็นการทำหน้าที่ตามกฎหมายก็สามารถเปิดเผยข้อมูลได้

ซึ่งบริษัทคิงส์เกตได้ทำรายงานความคืบหน้าคดีแก่ผู้ถือหุ้นมาโดยตลอด แต่สำหรับประเทศไทย ประชาชนคนไทยไม่มีส่วนได้ มีแต่ส่วนเสีย แต่รัฐบาลกลับเลือกปกปิดเป็นความลับโดยตลอด นอกจากนี้ การที่อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศที่ให้กระบวนการพิจารณาเป็นความลับ

หมายความว่า การสืบพยาน การไต่สวนพยานหลักฐาน ซึ่งเป็นกระบวนการก่อนการชี้ขาด ซึ่งเสร็จสิ้นตั้งแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563 ตอนนี้อนุญาโตตุลาการพร้อมอ่านคำชี้ขาด แต่มีการขอเลื่อนไปเรื่อย ๆ และยังมีข้อยกเว้นให้เปิดเผยข้อมูลได้ ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ไม่อาจหลีกเลี่ยงว่าเป็นความลับได้อีกต่อไป

น.ส.จิราพรกล่าวว่า สรุปแล้วรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ กับคิงส์เกตจะขอยกเลิกกระบวนการอนุญาโตตุลาการ และจะเดินหน้าเจรจากัน หรือจะเลือกไม่เจรจาแต่จะสู้คดีกันถึงที่สุด ถ้าไทยเลือกสู้จนถึงที่สุด ไทยมีโอกาสแพ้คดีสูงมาก และต้องจ่ายค่าโง่ ไม่ว่า เงิน ทองคำ หรือทรัพยากรประเทศ ซึ่งตรงกับแถลงการณ์ของบริษัทคิงส์เกตแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ เมื่อ 23 กันยายน 2564 ระบุว่า คิงส์เกตยืนยันว่ามีโอกาสที่จะได้ผลลัพธ์ประสบความสำเร็จจากอนุญาโตตุลาการ หากเจรจากับประเทศไทยไม่สามารถสรุปความสำเร็จได้

“หากประนีประนอมยอมความกันไม่สำเร็จ คิงส์เกตมั่นใจว่าถ้ามีการตัดสินจะเป็นฝ่ายชนะคดีอย่างแน่นอน ถ้าไทยแพ้คดี คำถามที่คนไทยทั้งประเทศอยากทราบคำตอบที่สุดคือ คนที่ต้องรับผิดชอบคือ พล.อ.ประยุทธ์ หรือประเทศ จะยอมควักกระเป๋าตัวเองจ่าย หรือเอางบประมาณแผ่นดินไปจ่าย เพราะแค่ทนายต่อสู้คดีก็ใช้งบประมาณแผ่นดิน 700 กว่าล้านบาทไปสู้คดี” น.ส.จิราพรกล่าว

น.ส.จิราพรกล่าวว่า การเปิดทางให้บริษัทคิงส์เกตนำผงเงินผงทองคำที่ถูกอายัดไว้ออกขาย การให้สิทธิสำรวจแร่เกือบ 4 แสนไร่ การให้สิทธิต่อประทานบัตร 4 แปลง เป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาประนีประนอมหรือไม่ เพราะแม้คดียังไม่ถึงที่สุด

ไทยก็ยังให้เขาทำเหมืองต่อแล้ว และยังให้สำรวจเหมืองเพิ่มอีก 4 แสนไร่ และคาดว่าที่รออนุญาตอีก 6 แสนไร่ ก็คงจะอนุมัติเพิ่มเติมอีกแน่นอน เท่ากับใช้สมบัติชาติเฉียด 1 ล้านไร่ เพื่อสังเวยค่าโง่ของการใช้มาตรา 44 สั่งปิดเหมืองทองอัครา

แล้วไทยให้อะไรเขาถึงมีการประนีประนอม ยอมถอนฟ้องฟรี ๆ โดยที่ไม่ได้ประโยชน์ที่คุ้มค่ากลับไปเลย คำถามที่รายการเหล่านั้นเป็นข้อแลกเปลี่ยนหรือไม่ มีคำตอบอยู่ในแถลงการณ์ต่อตลาดหลักทรัพย์ออสเตรเลีย ของบริษัทคิงส์เกต เมื่อ 23 กันยายน 2564 โดยมีการระบุรายการที่เจรจากัน 11 รายการ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในจังหวะนี้ มี ส.ส.พรรคพลังประชารัฐลุกขึ้นประท้วง กรณีใช้เอกสาร และความถูกต้องของเอกสารมาอภิปรายในสภา เอกสารอยู่ในเว็บไซต์ของคิงส์เกต สามารถไปดูได้

น.ส.จิราพรกล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์คืนเหมืองให้ต่างชาติแต่ไม่คืนอำนาจให้ประชาชน หลงมัวเมาอยู่ในอำนาจจนบ้านเมืองจะพังไปข้างหน้า ปิดเหมืองไปแล้ว ประเทศเสียหายแล้วต้องคืนสิทธิให้เขาอยู่ดี สิ่งที่ไทยเสียให้คิงส์เกต อาจมหาศาลมากกว่าเม็ดเงินและทองคำหากต้องแพ้คดีเสียอีก นอกจากนี้ การให้สัมปทานแก่บริษัทคิงส์เกตนั้นทับซ้ำซ้อนพื้นที่อุทยานแห่งชาติหรือไม่ ไทยมีแต่เสียกับเสีย และการประนีประนอมยอมความที่ไม่อยู่ในข้อพิพาทเป็นเรื่องผิดปกติ

น.ส.จิราพรกล่าวว่า การเจรจาเพราะไม่อยากให้มีการตัดสินการใช้มาตรา 44 ใช่หรือไม่ ถ้าคณะอนุญาโตตุลาการพิเศษออกคำชี้ขาด จะต้องตัดสินประเด็นข้อพิพาท คือตัดสินว่าการใช้มาตรา 44 ขัดต่อความตกลงทาฟต้าหรือไม่ อนุญาโตตุลาการจะต้องชี้สถานะทางกฎหมายของมาตรา 44 และหากชี้ว่าไม่มีสถานะเป็นกฎหมาย จะกลายเป็นสึนามิที่สะเทือนถึงคนออกและร่วมออกมาตรา 44 ทั้งหมด นั่นคือ พล.อ.ประยุทธ์ และคณะรัฐประหาร ซึ่งอาจต้องไปขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ

ประเทศไทยต้องเผชิญกับชะตากรรมแบบนี้เพราะมีการทำรัฐประหาร มีการใช้มาตรา 44 และที่สำคัญเพราะมีนายกรัฐมนตรีชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หากวันนี้เราไม่สามารถแสวงหาความจริงจากปากของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ ขอให้ทุกคำถามประทับอยู่ในหัวใจของคนไทยทั้งประเทศ

“พรรคเพื่อไทยจะไม่มีวันลืมเรื่องนี้ เราจะแสวงหาข้อเท็จจริงจากทุกช่องทาง และจะติดตามจนถึงที่สุด จะทำความจริง นำข้อมูลมาตีแผ่ให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบถึงเบื้องหลังของคดีนี้ ถ้าพบว่าการเจรจาประนีประนอมยอมความและข้อตกลงต่าง ๆ มีพฤติกรรมที่ไม่สุจริต ข้อแนะนำเดียวที่อยากจะฝากถึง พล.อ.ประยุทธ์ ในวันนี้คือ ขอให้เตรียมทีมทนายความทั้งในและต่างประเทศไว้ให้ดี ๆ” น.ส.จิราพรกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลัง น.ส.จิราพร อภิปรายจบไปประมาณ 1 ชั่วโมง ปรากฏว่า ร.อ.จองชัย วงศ์ทรายทอง ส.ส.ชลบุรี พรรคพลังประชารัฐ ลุกขึ้นประท้วง น.ส.จิราพร อภิปรายเรื่องกรณีเหมืองทอง ทำให้ น.ส.จิราพร ประท้วงกลับ โดยระบุว่า เป็นการซักถาม พล.อ.ประยุทธ์ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ไม่ใช่ถาม ส.ส.

นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่เป็นประธาน ได้วินิจฉัยว่า ญัตตินี้เป็นญัตติที่ทุกฝ่ายมีสิทธิเสนอแนะข้อเท็จจริงหรือเสนอการแก้ปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี นายจองชัยมีสิทธิ์เสนอข้อมูล ทำให้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยลุกขึ้นประท้วง ทั้ง นายศรัณย์ ทิมสุวรรณ ส.ส.เลย น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวานิช ส.ส.กทม ลุกขึ้นประท้วงว่าไม่ควรลุกขึ้นชี้แจงแทนรัฐมนตรี อย่างไรก็ตาม นายศุภชัยได้ตัดสินให้นายจองชัย ได้ชี้แจงต่อไป