ธนาธร ล่าชื่อคนละ 1 เสียง แก้รัฐธรรมนูญ กระจายอำนาจคืนท้องถิ่น

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

ธนาธร ให้ 1 คำสัญญา จะทำทุกวิถีทางปลดล็อกท้องถิ่น คืนงบฯ-อำนาจ ให้ประชาชน ขอคนละ 1 ชื่อ แก้รัฐธรรมนูญ ปฏิรูปรัฐรวมศูนย์

วันที่ 1 เมษายน 2565 ที่อาคารอนาคตใหม่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เปิดแคมเปญ “ขอคนละชื่อปลดล็อกท้องถิ่น” ว่า ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่คณะก้าวหน้าได้เข้าไปให้คำแนะนำผลักดันโครงการต่าง ๆ ร่วมกับ 16 เทศบาล ใน 7 จังหวัด 39 องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ใน 18 จังหวัด

สมาชิกสภาในนามคณะก้าวหน้าทุกระดับมากกว่า 200 คน ภายใต้งบประมาณรวมกัน 2,800 ล้านบาทต่อปี และจำนวนประชากร 4 แสนคน คณะก้าวหน้าประสบความสำเร็จในการผลักดันการพัฒนาต่าง ๆ ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก เช่น ที่เทศบาลตำบลด่านสำโรง จ.สมุทรปราการ เราผลักดันให้เกิดการเรียนการสอนในหลักสูตร 3D printing และ coding ในนักเรียนชั้น ป.4-6 จำนวน 200 กว่าคน

น้ำประปาที่เราปรับปรุงการทำงานร่วมกับเทศบาลตำบลอาจสามารถ จนได้รับการยอมรับจากกรมอนามัยว่าเป็นน้ำประปาที่ดื่มได้ ซึ่งในอีกปีข้างหน้า 6 เทศบาลที่มีโรงน้ำประปาของตัวเอง จะได้ใช้น้ำประปาที่ดื่มได้เหมือนกัน นอกจากนี้ ยังมีการเข้าไปสนับสนุนศูนย์เด็กเล็กใน อบต. และเทศบาลของคณะก้าวหน้า

มอบหนังสือนิทานให้เทศบาล และกำลังจะมีการจัดอบรมครูในศูนย์เด็กเล็กในเทศบาลและ อบต. ที่ จ.อุดรธานี, การคัดแยกขยะ และเปลี่ยนขยะเป็นสวัสดิการสังคม ผ่านกองทุนฌาปนกิจ และการนำเทคโนโลยี telemedicine มาใช้เพื่อลดภาระของโรงพยาบาลศูนย์ เป็นต้น

นายธนาธรกล่าวว่า ไม่ใช่ทุกการทำงานของเราจะเป็นไปอย่างราบรื่นไม่มีปัญหา เช่น ปัญหาน้ำประปาหลายที่ การแก้ปัญหาต้องลงทุนใหม่ทั้งระบบ บางแห่งต้องใช้งบฯลงทุน 8 ล้านบาท ภายใต้กรอบงบฯลงทุนที่เหลือแค่ 3 ล้านบาทต่อปี จากงบฯ 40 ล้านบาทต่อปี ปัญหาที่รู้อยู่แล้วว่าจะจัดการอย่างไร แต่กลับไม่มีงบประมาณ

อีกตัวอย่างหนึ่ง คือที่ อบต.ท่าสะแก จ.พิษณุโลก เราอยากพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวในพื้นที่อุทยานติดแม่น้ำแควน้อย แต่ อบต.ไม่มีอำนาจ อุทยานในพื้นที่ก็ไม่กล้าตัดสินใจ ต้องส่งมาที่กรมอุทยานแห่งชาติฯในส่วนกลาง เพื่อรออธิบดีเซ็นหนังสืออีกหลายเดือน ทั้งที่เป็นโครงการที่สร้างงาน สร้างรายได้ ไม่ทำลายป่าไม้ เป็นนโยบายของรัฐ แต่พอจะทำจริงทำไม่ได้เพราะไม่มีอำนาจในการทำ

“สิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย คืองบประมาณกองอยู่ที่ศูนย์กลาง มีตัวกลางระหว่างงบประมาณกับประชาชนเต็มไปหมด ทั้งราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาค กว่าที่ความต้องการของประชาชนจะได้รับการตอบสนอง ประชาชนต้องวิ่งเต้นใช้เส้นสาย โดยที่ตัวกลางทั้งหมดไม่มีความยึดโยงกับประชาชน ขณะที่คนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนมีงบประมาณเพียงนิดเดียว” ประธานคณะก้าวหน้ากล่าว

นายธนาธรกล่าวต่อว่า เมื่อเทียบกับต่างประเทศ ที่ท้องถิ่นมีอำนาจและงบประมาณด้วยตัวเอง ถึงขนาดสามารถทำรถไฟฟ้าและรถบัสในเมืองได้ด้วยตัวเอง ที่ทำเช่นนี้ได้เพราะมีการกระจายภาษีที่เป็นธรรมและมีอำนาจอย่างแท้จริง การตอบสนองชีวิตของประชาชนจึงเกิดขึ้นได้จริง

ดังนั้น การปลดล็อกท้องถิ่น จึงไม่ใช่แค่เรื่องการตอบสนองชีวิตประชาชนเฉพาะหน้า แต่นี่คือระบบระบอบทางการเมืองที่ทำให้เกิดระบบอุปถัมภ์ทางการเมือง แต่ถ้างบฯกับประชาชนอยู่ใกล้กันได้ ตัวกลางเดียวที่ทำให้ประชาชนเข้าถึงงบประมาณได้คือบัตรเลือกตั้ง นี่จะตัดตอนตัวกลางทางการเมืองทั้งหมดออกไปจากการเข้าถึงงบประมาณ นี่คือความสัมพันธ์ที่จะทำให้การตอบสนองความเป็นอยู่ประชาชนรวดเร็วขึ้น

การปลดล็อกท้องถิ่นจะอนุญาตให้ประชาชนได้ออกแบบและลงทุนเองได้ว่าเมืองของตัวเองจะเป็นอย่างไร ถ้าเปลี่ยนจากระบบที่เป็นอยู่เป็นแบบนี้ได้จะเป็นการปลดล็อกพลังการผลิตครั้งใหญ่ ทำลายโซ่ตรวนที่ฉุดรั้งความก้าวหน้าของสังคมไทย นี่ไม่ใช่ทางเลือกถ้าเราอยากให้ประเทศไทยพัฒนากว่านี้

“วันนี้ครบรอบ 130 ปีการสถาปนารัฐราชการรวมศูนย์ ขอใช้โอกาสนี้รณรงค์ปลดล็อกท้องถิ่น ขอชื่อจากทุกคนร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 14 ให้การกระจายอำนาจและปฏิรูปรัฐราชการเป็นไปได้จริง ผมมี 1 คำสารภาพ คือผมไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทุกที่ของประชาชน แต่มี 1 คำสัญญา คือจะทำทุกวิถีทางให้เกิดการปลดล็อกท้องถิ่น เอางบฯและอำนาจกลับไปให้ทุกคนสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวเองให้ได้

และมี 1 คำร้องขอ คือเรื่องนี้ใหญ่เกินที่พวกเราจะทำกันเองได้ เป็นเรื่องอนาคตของประเทศ ของลูกหลานเรา ใครก็ตามที่เห็นด้วย อยากให้มาช่วยกันรณรงค์ ร่วมล่ารายชื่อ อธิบายให้คนส่วนใหญ่ของประเทศเข้าใจ เป็นพลังแสดงให้สมาชิกรัฐสภาเห็นว่ามีคนจำนวนมากต้องการปฏิรูประบบราชการ ให้สมาชิกรัฐสภาผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้” นายธนาธรกล่าว