เปิดชื่อ 16 กรรมการบริหารพรรคสร้างอนาคตไทย สมคิด แคนดิเดตนายกฯ

สมคิด สร้างอนาคตไทย

อุตตมเผย “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” แคนดิเดตนายกฯ เปิด 16 รายชื่อกรรมการบริหารพรรคสร้างอนาคตไทย ชูนโยบาย 5 สร้าง เป็นพรรคทางเลือก-พาประเทศออกจากวิกฤต

วันที่ 20 เมษายน 2565 ที่ห้องแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี ที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปี พรรคสร้างอนาคตไทย ครั้งที่ 1/2565 นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค ประกาศบนเวที ว่า เราจะเชิญนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคสร้างอนาคตไทย

เช่นเดียวกับนายวิเชียร ชวลิต กรรมการบริหาร ที่ระบุว่า เป็นแคนดิเดตนายกฯใช่หรือไม่ นายวิเชียรกล่าวว่า “เราจะเสนอนายสมคิด เป็นแคนดิเดตนายกฯ อันดับหนึ่ง และนายอุตตม สาวนายน เป็นอันดับสอง ส่วนอันดับสาม จะประเมินสถานการณ์ในตอนนั้นอีกครั้ง ซึ่งนายสมคิดเองไม่ขัดข้อง”

นายวิเชียรกล่าวด้วยว่า นายสมคิดอยู่พรรคนี้แน่ แต่นายสมคิดจะดูจังหวะเวลาในการเปิดตัวเพื่อให้สอดรับเมื่อมีทีมที่แข็งแรง และทุกคนพร้อมทำงาน นายสมคิดจะไม่อยู่ในเชิงของการบริหารพรรค แต่จะดูแลในระดับภาพรวมใหญ่ทั้งหมด ดูแลเศรษฐกิจ และปัญหาของบ้านเมือง นี่คือหน้าที่ของนายสมคิด ดังนั้น พรรคต้องมีความพร้อมเรื่องของฐาน เพื่อให้นายสมคิดสามารถไปยืนอย่างสง่างาม เพื่อขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ

การประชุมครั้งนี้ มีการเปิด 16 รายชื่อกรรมการบริหารพรรค ดังนี้

1. นายอุตตม สาวนายน ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค

2. นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค

3. นายสันติ กีระนันท์ ดำรงตำแหน่งเหรัญญิกพรรค

4. นายนิทัศน์ ประทักษ์ไจ นายทะเบียนพรรค

5. นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ กรรมการบริหาร

6. นายสุพล ฟองงาม กรรมการบริหาร

7. นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ กรรมการบริหาร

8. นายวิเชียร ชวลิต กรรมการบริหาร

9. นายนริศ เชยกลิ่น กรรมการบริหาร

10. นายวัชระ กรรณิการ์ กรรมการบริหาร

11. นายรักษ์พงษ์ เซ่งเจริญ กรรมการบริหาร

12. นายวิรัช วิฑูรย์เธียร กรรมการบริหาร

13. นายโอฬาร วีระนนท์ กรรมการบริหาร

14. นายอิธวัฒน์ พิทักษ์คุมพล กรรมการบริหาร

15. นางทิพย์พาพร ตันติสุนทร กรรมการบริหาร

16. นางสาวโชนรังสี เฉลิมชัยกิจ กรรมการบริหาร

ชูนโยบาย 5 สร้าง

นายอุตตมกล่าวภายหลังรับตำแหน่ง ประกาศนโยบาย 5 สร้าง เป็นนโยบายหลักของพรรค เพื่อขับเคลื่อนแก้ปัญหาและสร้างอนาคตประเทศไทยอย่างบูรณาการทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมไทย ความเป็นอยู่ของคนไทยทุกคน เพื่อสร้างอนาคตแก่ลูกหลานไทย ได้แก่

1. สร้างเศรษฐกิจฐานรากเข้มแข็งและทันสมัย สร้างความเข้มแข็งให้ฐานรากด้วยเศรษฐกิจที่เหมาะสมกับท้องถิ่น ประยุกต์ภูมิปัญญาถิ่นสร้างโอกาส ในชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันทั้งชนบทและเมือง ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรชาวไร่ชาวนา ผู้ใช้แรงงานหรือผู้ประกอบการค้าขายริมทางริมถนนในเมืองกรุง ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย การบริหารจัดการที่เหมาะสม การจัดการทรัพยากรเพื่อการพัฒนาอย่างเพียงพอ เศรษฐกิจฐานรากระดับไมโครต้องแข็งแรงทันสมัยทันโลก

2. สร้างภาคเศรษฐกิจใหม่โครงสร้างพื้นฐานแห่งอนาคต พัฒนาระบบเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) ที่สร้างมูลค่าสูงด้วยแนวคิด BCG (Bio-Circular-Green Economy) คือระบบเศรษฐกิจฐานชีวภาพ มีการหมุนเวียนการใช้ทรัพยากรและเป็นมิตรกับโลก เพื่อทดแทนระบบเศรษฐกิจเก่า (Old Economy) ที่สร้างมูลค่าน้อยและเป็นปัญหากับสภาพแวดล้อมไทยและโลก สร้างโครงสร้างพื้นฐานแห่งอนาคต เพื่อเป็นปัจจัยในการสร้างภาคเศรษฐกิจใหม่ให้มีประสิทธิภาพ

ปลดปล่อยศักยภาพของประเทศได้เต็มกำลังความสามารถ ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลที่แม่นยำเพื่อกำหนด กลยุทธ์ในการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างและสนับสนุนให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานแห่งอนาคต เช่น ศาสตร์และศิลป์แห่งการวิเคราะห์ข้อมูล (Data-Analytics และ AI) ซึ่งต้องเริ่มด้วยทำให้คนไทยทุกคน มี Digital Literacy รู้ทันเทคโนโลยีดิจิทัลและสามารถนำมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มศักยภาพ

3. สร้างสังคมที่เกื้อกูล เป็นธรรม และยั่งยืน สร้างสังคมที่มีความเป็นธรรม คืนความสุขให้คนไทยทุกคน บูรณะวัฒนธรรมพื้นฐานของความเอื้ออาทร เกื้อกูล มีน้ำใจ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ในจิตใจของคนไทยทุกคน เสริมพื้นฐานการพัฒนาเศรษฐกิจแบ่งปัน (Sharing Economy) เพื่อใช้ประโยชน์ของทรัพยากรในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างคุ้มค่าและทำให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีตัวอย่างที่เริ่มต้นในภาคเอกชน เช่น Co-Working Space การใช้พื้นที่สำนักงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การระดมทุนแบบ Peer-to-Peer หรือ Crowdfunding ซึ่งเป็นเศรษฐกิจยุคใหม่ ที่ยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม

4. สร้างคนและวิทยาการพร้อม…ก้าวสู่สังคมโลกแห่งอนาคต สร้างคนให้พร้อม สามารถใช้ประโยชน์จากความเปลี่ยนแปลงของบริบทโลก ด้วยเทคโนโลยีในระบบการศึกษาและการศึกษาต่อเนื่อง สร้างพื้นฐานความรู้ที่เข้มแข็งและมีจิตที่พร้อมจะเรียนรู้ตลอดชีวิต เป็นหลักประกันในการยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ทัดเทียมนานาอารยประเทศ มุ่งสร้างวิทยาการที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตคนไทย โดยที่สามารถรองรับความเปลี่ยนแปลงและความผันผวนของโลก ทำให้สังคมไทยสามารถปรับตัว ยืดหยุ่นและทนต่อแรงเสียดทาน (Resilience) ทั้งกลับใช้ประโยชน์จากความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5. สร้างการเมืองที่สร้างสรรค์พลังบวก ดำเนินงานการเมืองโดยยึดถือประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข สร้างระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง บนพื้นฐานจิตสาธารณะ หยุดประชาธิปไตยเทียมที่มีเพียงรูปแบบอันหลอกลวงมุ่งสนองประโยชน์ของพวกพ้องและอภิสิทธิ์ชน หยุดยั้งการเมืองเชิงทำลายที่มุ่งสร้างความร้าวฉานเพียงเพื่อช่วงชิงอำนาจด้วยเกมการเมือง

นายอุตตมกล่าวว่า เป็นการประชุมครั้งประวัติศาสตร์และขอบคุณที่ให้ความไว้วางใจตน ตั้งแต่วันที่ 19 มกราคม 2565 ที่ตนและผู้ก่อตั้งพรรคได้แสดงเจนารมย์ร่วมกันในการทำงานเพื่อบ้านเมืองและฟื้นเศรษฐกิจ ที่ผ่านมาเราทำงานอย่างหนัก เปิดเวทีรับฟังทุกภาคส่วนเพื่อรับความคิดใหม่เพื่อขับเคลื่อนนโยบาย รวมถึงการเชิญบุคคลมาทำงานการเมือง ทั้งนักการเมือง ภาคเอกชน และภาคประชาชน มาร่วมทำงานด้วยกัน

นับจากนี้ไป ตนและ กก.บห.จะขับเคลื่อนพรรคอย่างเป็นทางการเพื่อให้พรรคเป็นสถาบันทางการเมืองและเป็นที่พึ่งของประชาชน เป้าหมายแรก คือ การแก้ไขปัญหาประชาชน มีหลายมิติ โดยเฉพาะเรื่องปากท้อง เศรษฐกิจ สินค้าแพง รายได้ตกต่ำ ค่าครองชีพไม่เพียงพอ คนจนลง ขณะที่มีคนบางกลุ่มร่ำรวยจากสถานการณ์ที่ผ่านมา ตอกย้ำความเหลื่อมล้ำ

นายอุตตมกล่าวว่า ประเทศไทยจะไปทางไหน วันนี้เรามองไม่เห็นอนาคตดี ๆ ของลูกเราเลย ทำอย่างไรที่คนไทยจะพ้นจากวงจรความยากจนได้ และยังมีปัญหาความยุติธรรมไม่เสมอภาค ระบบราชการไม่ตอบโจทย์ความต้องการของประชน เพราะโครงสร้างไม่ได้เปลี่ยนมานาน วันนี้โลกใหม่กำลังจะมาถึง ถึงเวลาที่ประชาชนจะมีพรรคทางเลือก และพรรคเสนอทางออก โดยผ่านคนรุ่นใหม่และชุดความคิดใหม่การตั้งพรรคไม่ใช่เรื่องง่าย

แต่ตนเชื่อมั่นว่าทุกคนต้องการสร่างการเมืองใหม่ ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และไม่ต้องต้องการเข้ามามีอำนาจ หรือ ไขว่คว้าหาอำนาจ เรามาร่วมกันสร้างพรรคให้เป็นองค์กรที่เปิกว้างของประชาชน พร้อมรับฟังความต้องการทุกภาคส่วน พร้อมเปิดใจ และรับฟังทั้งที่สอดคล้องและแตกต่าง เพื่อคิดทำร่วมกันเพื่อประโยชน์สูงสุด พรรคไม่แสวงหาประโยชน์เพื่อพวกพ้อง วันนี้ถึงเวลาแล้วที่จะหลุดพ้นจากวิกฤตที่เผชิญ