พรรคสร้างอนาคตไทย เดิมพันประเทศไม่รอด ถ้าไม่มีนายกฯชื่อ สมคิด

เบื้องหลังพรรคสร้างอนาคตไทย รวมนักการรุ่นเมืองใหญ่ ฟันธงถ้านายกรัฐมนตรีคนต่อไปไม่ใช่ชื่อ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประเทศนี้ไปไม่รอด  

ทันทีที่ “อุตตม สาวนายน” หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย ชู “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” เป็นแคนดิเคตนายกรัฐมนตรีของพรรคสร้างอนาคตไทย บนเวทีประชุมใหญ่สามัญประจำปีครั้งแรกของพรรคก็ปล่อยคิวนักการเมืองอาชีพฝีปากกล้าขึ้นพูดถึง “เบอร์ 1 นายกฯของพรรค”

โน้มน้าว นิพิฏฐ์ ร่วมพรรค

“นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” 1 ในกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) เป็น “คนแรก” ที่ขึ้นเวทีขึ้นมากล่าวถึงนายสมคิด ว่า ต้องกรอบขอบพระคุณไปถึงท่านอาจารย์สมคิด เพราะอาจารย์เป็นคนเชิญผมให้มาร่วมก่อตั้งพรรคอนาคตไทย เมื่อ 3-4 เดือนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสคุยเป็นการส่วนตัวกับอาจารย์ ดร.สมคิด สองครั้ง ครั้งละไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง

“ผมบอกอาจารย์ว่า ในทางการเมืองนั้น ในทางประวัติศาสตร์ทางการเมือง ผมเดินออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ผมเหมือนคนที่อยู่ในประวัติศาสตร์การเมือง ผมบอกอาจารย์สมคิดว่า ผมเป็นสิ่งชำรุดในทางการเมืองไปแล้ว แต่อาจารย์สมคิด บอกว่า ประสบการณ์ของผมทางการเมืองยังมีประโยชน์สำหรับบ้านเมืองอยู่ ท่านอาจารย์สมคิด จึงได้ขอให้ผมมาร่วมกันสร้างอนาคตประเทศไทยกันอีกครั้งหนึ่ง”

อดีตรองหัวหน้าพรรคภาคใต้พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งปัจจุบันเข้ามาเป็นรองหัวหน้าพรรค-ประธานภาคใต้ของพรรคสร้างอนาคตไทยกล่าวต่อไปว่า ผมได้คุยกับอาจารย์สมคิด อาจารย์สมคิดบอกผมว่า ภาคใต้มีจุดอ่อนและจุดแข็งอยู่ 3-4 ประการด้วยกัน จุดแข็งของภาคใต้ คือ มีทรัพยากรที่เยอะ อาจจะพูดได้ว่า มีทรัพยากรมากที่สุดในประเทศไทย มีชายฝั่งสองฝั่ง ฝั่งตะวันตก ฝั่งตะวันออกประมาณ 2 พันกว่ากิโลเมตร

“แต่จุดอ่อนของภาคใต้มีอยู่ 2-3 เรื่องด้วยกัน เป็นสิ่งที่อาจารย์สมคิดได้สะท้อนมายังผม ประการแรก คือ โครงสร้างพื้นฐานของภาคใต้อยู่ในสภาพที่ชำรุดทรุดโทรมมากที่สุด มากกว่าทุกภาคในประเทศนี้ ผมก็เห็นตรงกับท่าน ประการที่สอง ท่านบอกว่า คนภาคใต้เวลาบ้านเมืองเจริญเติบโต เวลาที่เศรษฐกิจดี คนภาคใต้จะรวยช้ากว่าภาคอื่น”

“ผมบอกอาจารย์สมคิดว่า ผมอยู่ในวงการเมืองมา 27 ปี ผมเสียดายที่ผมเป็นฝ่ายค้านเสียมากกว่าฝ่ายรัฐบาล ผมเป็นฝ่ายค้าน 18 ปี เป็นรัฐบาลเพียง 9 ปีเท่านั้น แต่ 9 ปีที่เป็นรัฐบาล หรือ 18 ปีที่เป็นฝ่ายค้าน คนภาคใต้เสียเลือด เสียเนื้อ เสียทรัพยากร เสียทุกอย่างเพื่อรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รักษาประเทศนี้มาโดยตลอด การที่คนภาคใต้ยอมเสียสละทุกอย่าง เสียสละเลือดเนื้อ อยู่ในสถานะยากจนกว่าทุกภาค”

“อาจารย์สมคิดบอกว่า ขอให้ผมมาร่วมกับพรรคนี้เพื่อฟื้นฟูภาคใต้อีกครั้งหนึ่ง เราใช้คำพูดว่า ทำภาคใต้ให้หายจากความยากจน ผมเลยประกาศกับพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะคนภาคใต้ว่า ครั้งนี้เป็นการทำสงครามครั้งสุดท้ายของผมแล้วในชีวิตนี้”

“ครั้งนี้แพ้ชนะผมไม่เสียใจเลย แต่ผมกำลังหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับคนภาคใต้ ผมอ้อนวอนพี่น้องว่า พี่น้องคิดว่า จุดยืนทางการเมืองที่ท่านยืนอยู่ขณะนี้ คือ สิ่งที่ดีที่สุดของลูกหลานของท่านแล้วหรือยัง ถ้าจุดยืนวันนี้ของท่านดีสำหรับลูก ดีสำหรับหลานของท่านแล้ว ผมไม่อ้อนวอนท่านให้มาอยู่กับพรรคสร้างอนาคตไทย แต่ถ้าท่านคิดว่าจุดยืนในวันนี้ไม่เหมาะสม โลกมันก้าวไกลเกินกว่าที่จะยอมรับลูก รองรับหลานที่จะเกิดมาในอนาคตของท่านมาร่วมสร้างอนาคตประเทศไทย สร้างอนาคตภาคใต้ไปด้วยกัน”

“ในอดีตผมใส่แจ็กเกตประชาธิปัตย์ วันนี้ผมถอดแจ็กเกตประชาธิปัตย์ออก ผมมาใส่แจ็กเกตพรรคสร้างอนาคตไทย อย่าดูที่แจ็กเกตผมที่ใส่ ไม่ว่าผมจะใส่แจ็กเกตอะไรก็ตาม หัวใจ จิตวิญญาณของผมยังเป็นคนเดิมทุกประการ ผมเป็นนักกฎหมาย ผมต่อสู้เพื่อความยุติธรรม ไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหน ผมจะสู้เพื่อสิ่งเหล่านี้ให้พี่น้องประชาชนโดยตลอด 14 จังหวัดภาคใต้ 58 เขต ผมจะไปพบกับท่าน เพื่อเชิญชวนพี่น้องภาคใต้ มาร่วมสร้างอนาคตภาคใต้ เพื่อร่วมสร้างอนาคตประเทศไทยไปด้วยกัน”

สัมพันธ์สมคิด-สุพล 22 ปี

ขณะที่ “สุพล ฟองงาม” กก.บห. รองหัวหน้าพรรค-แม่ทัพภาคอีสาน กล่าวเป็นคนที่สองว่า ผมเป็นนักการเมืองอาชีพ อยู่ในแวดวงการเมืองเป็นปีที่ 32 เริ่มต้นการเมืองปี 2533 จากการเมืองท้องถิ่นสู่นักการเมืองระดับชาติ เสื้อตัวแรกที่ผมสวม คือ พรรคความหวังใหม่ ปี 2538 ผมลงสมัครเลือกตั้งครั้งแรก ได้อันดับ 4 ปี 2539 ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคเดิม พรรคความหวังใหม่ เราใช้สโลแกน วิธีการรณรงค์ คนอีสานต้องมีนายกฯคนอีสาน

“วันนั้นเราชู พล.อ.ชวลิตเป็นนายกฯ คนอีสาน คนอีสานเลือก พล.อ.ชวลิต 80% เป็นนายกฯของคนอีสาน ในวันนั้น แต่อยู่ไมได้ อยู่ไดไม่นาน เพราะคนต่างจังหวัดเลือก คน กทม.เราแก้ปัญหาไม่ได้ เกิดแรงกดดัน เกิดม็อบ พล.อ.ชวลิตลาออก เป็นได้เพียง 1 ปี นั่นคือปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้อง”

นายสุพลกล่าวว่า ผมตัดสินใจร่วมกันคุณเสนาะ เทียนทอง สวมเสื้อตัวที่สอง เสื้อไทยรักไทย ผมลาออกจาก ส.ส.ก่อนครบวาระ พร้อมพวก 80 คน เพื่อชูมือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ พร้อมกับคุณเสนาะ จากพรรคที่คาดหวังว่าจะมี ส.ส. 50 คน จากพรรคที่ไม่มี ส.ส.เลย เหมือนปัจจุบัน อยู่ที่ตัวผู้นำ นโยบาย แนวความคิด สภาพปัญหาวันนี้ไม่ได้แตกต่างกัน เพียงแต่สถานการณ์วันนี้วิกฤตกว่านั้น

“ผมได้รู้จักอาจารย์สมคิดปี 2543 อาจารย์สมคิดเป็นคนเก่ง เป็นคนคิดนโยบาย เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน ผมศรัทธาท่านตั้งแต่วันนั้น ผมสวมเสื้อตัวที่สามจากพรรคเพื่อไทยมาที่พรรคพลังประชารัฐ ด้วยการทาบทามและเชิญชวนโดยอาจารย์สมคิด บอกให้มาช่วยอุตตม ช่วยสนธิรัตน์สร้างพรรคพลังประชารัฐให้เป็นสถาบันที่เข้มแข็ง”

นายสุพลกล่าวว่า วันนั้นเป็นวันที่ผมตัดสินใจยากที่สุด ในชีวิตทางการเมืองของผม อยู่ฝ่ายที่เรียกว่า ฝ่ายประชาธิปไตยมาโดยตลอด ต่อสู้กับอีกฝ่ายหนึ่งมาโดยตลอด ผมเป็นแกนนำคนเสื้อแดง ทำให้ผมตัดสินใจยากมาก เมื่อได้คุยกับอาจารย์สมคิดเพื่อให้บ้านเมืองก้าวข้ามความขัดแย้ง สลายความขัดแย้ง และมาสร้างเศรษฐกิจฐานราก วางรากฐานประชาธิปไตยกันใหม่

“วันนี้ ผมตัดสินใจลาออกจากการเป็น ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ทั้ง ๆ ที่มีอายุเหลืออีก 1 ปี ด้วยเหตุผลที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้อง ภายใต้ระบบที่เป็นอยู่ วันนี้ ผมมีความเชื่อมั่นว่า บ้านเมืองต้องมีทางออก สำคัญ 2 ประการ 1 คน ต้องได้คนดี ต้องได้คนที่มีคุณธรรม ต้องได้คนที่ไม่มีประวัติด่างพร้อย 2 ต้องได้คนเก่ง และมีประสบการณ์ มีผลงาน ผมเชื่อว่า พรรคนี้มีทั้งคนเก่ง คนกล้า และคนดี ร่วมอุดมการณ์เสียสละเพื่อบ้านเมือง หลังจากวันนี้ไป ออกจากจุดสตาร์ตแล้ว เครื่องยนต์ทุกตัวของพรรค ต้องทำงาน ต้องวิ่งเต็มสูบ”

สุรนันทน์ ศิษย์เก่าไทยรักไทย

“สุรนันทน์ เวชชาชีวะ” อดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทย-บ้านหลังเก่ากับสมคิด ปัจจุบันรับตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค-ประธานกทม. กล่าวเป็นคนที่สาม ว่า เหตุผลที่ผมกลับมาทำการเมืองรอบนี้มี 3 เหตุผลหลัก เหตุผลประการแรก ปัญหาสาธารณสุข เพราะการบริหารจัดการการแพร่ระบาดโควิด-19 ของรัฐบาล ประการที่สอง ปัญหาเศรษฐกิจ ไม่สามารถบริหารเศรษฐกิจ ทั้งการแก้ไขปัญหาปากท้องระยะสั้น และการวางแผนเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19″

ประการที่สาม มาจากทั้งปัญหาสาธารณสุข และปัญหาเศรษฐกิจ คือ ปัญหาการบริหารจัดการล้มเหลวของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ไม่สามารถขอให้ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ต่ออีก 8 ปีได้ ท่านเหล่านี้ (อุตตม สนธิรัตน์) เข้าไปวางระบบ เข้าไปแก้ไขปัญหา คนที่เป็นมืออาชีพ ไม่ใช่นักการเมือง แต่ในที่สุดถูกเกมการเมืองบีบ ท่านก็เป็นคนดี ท่านก็ออกมา การเมืองไทย หลายคนเป็นคนดีถูกบีบออกมา อยู่ไม่ได้ มีแต่คนที่ช่วงชิงอำนาจ ต่อสู้กันเรื่องอำนาจที่อยู่ได้

นายสุรนันทน์กล่าวว่า หลายคนถามว่า ทำไมผมไม่กลับไปเพื่อไทย ผมไม่ได้มีอะไรกับเพื่อไทย ผมยังเคารพอดีตนายกฯทักษิณ อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ในฐานะผู้บังคับบัญชาเก่าของผม แต่ผมคิดว่า เราต้องสร้างยานพาหนะใหม่ มาสร้างองค์กรใหม่ร่วมกัน ที่เป็นมืออาชีพ ผสมผสานกับความคิดใหม่และคนรุ่นใหม่ คนที่มีอาชีพและประสบประการณ์และพร้อมกลับไปทำงานให้กับประเทศชาติ

“ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องสลายขั้วการเมือง สลายความขัดแย้ง เหตุเดียวเพราะถ้าเราไม่จับมือกัน เราไม่สามัคคีกัน เราไม่รวบรวมคนดีและคนเก่งเข้ามา แล้วทำงานร่วมกัน ถ้ายังขัดแย้งประเทศนี้จะล่มสลาย เราต้องสลายความขัดแย้ง ลดอีโก้ตัวเอง เอาผลประโยชน์ประเทศชาติเป็นที่ตั้ง”

“ทีมที่เป็นมืออาชีพจะต้องมีผู้นำที่เป็นมืออาชีพ ผมขอฟันธงตรงนี้เลย ว่า ถ้านายกรัฐมนตรีคนต่อไปไม่ใช่ชื่อ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประเทศนี้ไปไม่รอด”

ดัน เด็กในคาถา ออกเบื้องหน้า

ปิดท้ายที่ “รักษ์พงษ์ เซ่งเจริญ” กก.บห. – เด็กสมคิด กล่าวตบท้าย ว่า อยากขอบคุณท่านสมคิด คือ ท่านให้ผมทุกอย่าง ยิ่งกว่าที่ทุกคนพูดอีก ผมเป็นคนคนเดียวที่ท่านให้ทุกอย่าง ตั้งแต่เรียนหนังสือ ให้งานทำ จนถึงทำงานการเมืองก็เพราะท่านอาจารย์สมคิด และวันนี้ก็ถึงเวลาที่ท่านอาจารย์บอกว่าต้องกันช่วยสร้างอนาคตไทย จึงเป็นที่หน้าที่ผมต้องมาทำงานเต็มที่

ทั้งหมด คือ คนในคอนเน็กชั่น-สัมพันธ์กับ “สมคิด” ที่เป็นมากกว่าสัมพันธ์ทางการเมือง