สนามบินสุวรรณภูมิแก้ปัญหาความคับคั่ง ขยายจุดตรวจค้นเพิ่มเป็น 41 จุด

สุวรรณภูมิ
แฟ้มภาพ

สนามบินสุวรรณภูมิแก้ปัญหาความคับคั่ง ขยายจุดตรวจค้นเพิ่มเป็น 41 จุด ตั้งแต่ 15 พ.ย. 64 – 5 ม.ค. 65

วันที่ 13 พฤศจิกายน 2564 นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บมจ. ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) กล่าวว่า เพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการในอาคารผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 – 5 มกราคม 2565

ทสภ.จะดำเนินการปรับปรุงพื้นที่จุดตรวจค้นและจุดตรวจหนังสือเดินทางผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศโซน 1 (บริเวณหลังเคาน์เตอร์เช็คอิน Row A) และจุดตรวจค้นและจุดตรวจหนังสือเดินทางผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศช่องทางพิเศษโซน 2 (Fast Track) ชั้น 4 อาคารผู้โดยสาร

โดยกำหนดการปิดพื้นที่ทีละโซน ช่วงแรก จะปิดพื้นที่จุดตรวจค้นฯ โซน 1 ปรับปรุงให้เป็นพื้นที่บริการผู้โดยสารช่องทางพิเศษ (Fast Track) ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ (Wheelchair) ผู้โดยสาร First Class, Premium Lane และลูกเรือ เพื่อขยายพื้นที่ให้บริการ โดยมีจำนวนเคาน์เตอร์ตรวจหนังสือเดินทางเพิ่มเป็น 13 ช่องตรวจ (จากปัจจุบัน 6 ช่องตรวจ)

พื้นที่รอตรวจหนังสือเดินทางเพิ่มเป็น 348 ตารางเมตร (จากปัจจุบัน 80 ตารางเมตร) ขีดความสามารถในการตรวจหนังสือเดินทางเพิ่มเป็น 660 คนต่อชั่วโมง (จากปัจจุบัน 232 คนต่อชั่วโมง) พื้นที่รอรับการตรวจค้น เพิ่มเป็น 114 ตารางเมตร (จากปัจจุบัน 50 ตารางเมตร) เครื่องเอกซเรย์ เพิ่มเป็น 5 เครื่อง (จากปัจจุบัน 2 เครื่อง)

อย่างไรก็ตาม ระหว่างปิดปรับปรุงพื้นที่จุดตรวจค้นฯ โซน1 ผู้โดยสารที่ใช้บริการสายการบินไทย ประเภทชั้น 1 (Royal First Class) และชั้นธุรกิจ (Royal Silk Class) และลูกเรือ สามารถใช้บริการจุดตรวจค้นฯ ช่องทางพิเศษ (Fast Track) โซน 2 แทนเป็นการชั่วคราว

นายกิตติพงศ์ กล่าวว่า สำหรับการปรับปรุงช่วงที่สอง ในส่วนของพื้นที่จุดตรวจค้นฯ ช่องทางพิเศษ (Fast Track) โซน 2 เป็นการปรับปรุงให้เป็นพื้นที่บริการจุดตรวจค้นและตรวจหนังสือเดินทางสำหรับผู้โดยสารทั่วไปประเภทชั้นประหยัด (Economy) เต็มรูปแบบ

โดยจะเพิ่มเคาน์เตอร์ตรวจหนังสือเดินทาง 8 ช่องตรวจ รวมเป็น 28 ช่องตรวจ เพื่อขยายพื้นที่รอตรวจหนังสือเดินทางผู้โดยสารขาออกโซน 2 เพิ่ม 260 ตารางเมตร รวมเป็น 860 ตารางเมตร เป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้ใช้บริการและแก้ไขปัญหาความคับคั่งในอาคารผู้โดยสาร

ทั้งนี้ ทสภ. ได้ประสานงานกับทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะกรรมการดำเนินงานธุรกิจการบินกรุงเทพ (AOC) และสายการบินถึงการดำเนินการปรับปรุงพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งประเมินแล้วว่าระยะเวลาดำเนินการ 52 วัน ในการปรับปรุงพื้นที่ทั้ง 2 โซนดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อการให้บริการผู้โดยสารขาออก เนื่องจากเป็นการทยอยปิดพื้นที่ทีละโซน และระหว่างดำเนินการยังคงมีพื้นที่ให้บริการรองรับ

ขณะเดียวกัน แม้จำนวนผู้โดยสารที่มาใช้บริการ ณ ทสภ. มีปริมาณเพิ่มขึ้นตามนโยบายการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา การคาดการณ์ผู้โดยสารขาออกในระยะนี้ยังคงมีจำนวนไม่หนาแน่นเมื่อเทียบกับก่อนเกิดสถานการณ์โควิด 19

นายกิตติพงศ์ กล่าวในตอนท้ายว่า ทสภ. มุ่งมั่นในการพัฒนาบริการทุกด้านเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้ใช้บริการ ทุกการดำเนินการได้ประเมินแล้วว่าจะต้องไม่กระทบต่อการให้บริการตามปกติ ภายใต้แนวคิดการเดินทางวิถีใหม่ (Transport New Normal) โดยให้บริการตามมาตรการด้านสาธารณสุข COVID – Free Setting เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ใช้บริการต่อ ทสภ. และ ทอท.