จตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ TOA เชื่อมั่นเศรษฐกิจฟื้นพร้อมรุกลงทุน

จตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ
สัมภาษณ์พิเศษ

ดักเจอ ดักสัมภาษณ์ในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์สีทาภายใน “TOA Organic Care” เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา

สถานการณ์โควิดปี 2563-ไตรมาส 3/2564 การประกอบธุรกิจทำได้อย่างกระท่อนกระแท่น จนกระทั่งรัฐบาลเปิดประเทศพลิกฟื้นเศรษฐกิจหลังยุคโควิด เป็นโอกาสได้นั่งล้อมวงสัมภาษณ์ “เสี่ยโอ-จตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ถึงทิศทางลงทุนของ TOA ภายใต้มุมมองปี 2565 แนวโน้มเป็นปีที่ดี อย่างน้อยบรรยากาศค้าขายน่าจะดีกว่า 2 ปีในยุคโควิด

เทรนด์สีทาอาคารหลังโควิด

TOA เป็นแบรนด์สีทาอาคารทั้งภายในและภายนอกที่มีอายุก่อตั้งองค์กรและได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคเป็นเวลา 57 ปีมาแล้ว ปัจจุบันหลังจากที่เราต้องเผชิญกับวิกฤตการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้พฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้คนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม คำคุ้นชินการใช้ชีวิตวิถีใหม่แบบ new normal กลายมาเป็น now normal ที่เราต้องปรับตัวเดินหน้าใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันให้ได้อย่างเป็นปกติและมีความสุข

สิ่งสำคัญในยุคโควิดคือการใส่ใจเรื่องสุขภาพ การใช้ชีวิตในบ้านและการดูแลสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มมากขึ้น TOA ในฐานะผู้ผลิตสีและวัสดุก่อสร้าง

จึงได้พัฒนานวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ความปลอดภัยภายในบ้านและความปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม ปลอดภัยต่อโลกที่เราอยู่อาศัย พัฒนาเป็นนวัตกรรมสี TOA Organic Care สีทาภายในที่พัฒนาขึ้นด้วยเทคโนโลยี bio-based รายแรกและรายเดียวในประเทศไทยที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก USDA สหรัฐอเมริกา

โดย TOA Organic Care นำส่วนประกอบจากพืชมาพัฒนาเพื่อใช้ทดแทนวัตถุดิบจากปิโตรเคมี ให้คุณภาพความคงทนของฟิล์มสีที่ยอดเยี่ยม

ให้คุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่เหนือกว่า กลิ่นอ่อนมาก สารระเหย VOCs 0% ไร้สารก่อภูมิแพ้ตามมาตรฐาน sensitive choice ของออสเตรเลีย ช่วยลดสารฟอร์มัลดีไฮด์ในอากาศด้วยเทคโนโลยี air detoxify นอกจากนี้ยังผ่านมาตรฐาน LEED V4.1 USA และมาตรฐานอาคารสีเขียว จึงปลอดภัยต่อทุกชีวิตในบ้านและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เราออกแบบผลิตภัณฑ์โดยคำนึงไปถึงการเช็ดล้างที่ทำได้สะดวกง่ายดายอีกด้วย

ศก.ยุคโควิดกับวิกฤตในอดีต

ผมมองว่ามาตรการล็อกดาวน์-ปิดเมืองในสถานการณ์โควิดส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาพรวมรุนแรงกว่าปี 2554 ที่มีน้ำท่วมใหญ่หรือมหาอุทกภัย หลังจากรัฐบาลเริ่มใช้มาตรการเปิดประเทศตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2564 เป็นต้นมา ทิศทางน่าจะดีขึ้น บรรยากาศมีความคึกคักมากขึ้น แม้จะยังไม่เท่ากับช่วงภาวะปกติก่อนมีโรคระบาด

สิ่งที่ไม่อยากเห็นคือล็อกดาวน์ ซึ่งบ้านเราอาจจะโชคดีกว่าคนอื่นตรงที่เรามีวัคซีนสูตรไขว้ แต่ถ้าไปอเมริกา ไปยุโรป เขาไม่ฉีดไขว้ เพราะฉะนั้นบ้านเราถือว่าดี ส่วนจะป้องกันโรคระบาดได้หรือเปล่าผมไม่รู้ แต่อย่างน้อยทำให้ผมคิดว่าเป็นแนวทางที่เราต่างจากคนอื่น

ในส่วนของตลาดสีทาอาคาร ในช่วงปี 2563-2564 ที่มีมาตรการล็อกดาวน์ ตลาดหลักเป็นลูกค้าทาสีใหม่ บ้านใหม่ คอนโดมิเนียมโครงการใหม่ เพราะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทาสีซ้ำมีความหวาดกลัวโรคระบาด ไม่กล้าให้ช่างทาสีเข้าบ้าน แนวโน้มตั้งแต่ปลายปี 2564 และปี 2565 ทุกอย่างน่าจะดีขึ้นเป็นลำดับ

ประเมินผลกระทบโอไมครอน

สำหรับนักธุรกิจเชื่อว่าทุกคนก็ aware มากกว่าเดิมเยอะ ถ้ากลับไปเดือน 7 (กรกฎาคม 2563) คนไม่ค่อย aware เท่าไหร่ คนมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่พอเจอระลอก 3-4 เข้าไปทุกคนก็ระวังตัวด้วยความเคยชิน แต่ตอนนี้การ์ดอาจจะตกนิดหน่อยแล้ว เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นเชื้อโอไมครอนหรือเดลต้า เราก็ต้องระวังตัวเหมือนกัน ใส่หน้ากาก รักษาระยะห่าง ตั้งการ์ดสูงไว้คือดีที่สุด ทุกคนทำได้ด้วยตัวเอง

ตัวเลขรายได้ 10 เดือนแรก

ยุคก่อนโควิดในปี 2562 TOA มีรายได้รวม 16,900 ล้านบาท ต้นปี 2563 เริ่มมีโควิดระบาดทำให้ทั้งปีหายไป 4% มาอยู่ที่ 16,200 ล้านบาท สำหรับ 2564 ทั้งปีคาดว่าขยายตัว 5% เทียบกับปี 2563 แน่นอนว่าปีนี้สถานการณ์โควิดเปลี่ยน มีการพบผู้ติดเชื้อในประเทศระดับค่อนข้างสูง ทุกคนก็กลัวไม่กล้าทำอะไร ทำให้กระทบการขายไปพอสมควรในช่วงเดือน 8 เดือน 9

เทรนด์ปี 2565 โอกาสที่ยอดขายจะกลับไปเท่ากับยุคก่อนโควิดก็น่าจะทำได้ ถึงแม้จะมีสายพันธุ์เดลต้าหรือโอไมครอน เราก็ต้องอยู่กับมัน ถ้ามันรุนแรงจริง ๆ ค่อยว่ากัน อย่างผมทำธุรกิจสีทาอาคารทุกอย่างมันบาลานซ์กันหมด

ในภาพรวมฝั่งรัฐบาล ผมมองว่าควบคุมโควิดอยู่แล้ว ตอนนี้วัคซีนก็เหลือแล้ว ประชาชนคนไทยก็ต้องช่วยกันว่าใครยังไม่ฉีดวัคซีนก็เร่งไปฉีด เพราะถ้าเราดูจากยุโรปที่เริ่มมีการระบาดระลอกใหม่เมื่อเจาะหาสาเหตุลึก ๆ ลงไปผู้ติดเชื้อก็เกิดจากคนที่ไม่ฉีด ในประเทศไทยก็อยากให้ทุกคนฉีดวัคซีน

ส่วนรัฐบาลจะต้องทำยังไงบ้างนั้น ตอนนี้เราเจอกระแสโลกซึ่งเราหนีมันไม่ได้ รัฐบาลก็ต้องประคองพวกเรา (ผู้ประกอบการ) ให้ผ่านไป ให้พวกเราเจ็บตัวน้อยที่สุด

เทรนด์การแข่งขันปีหน้า

ตลาดสีทาอาคารเราเป็นผู้นำในการเสนอนวัตกรรมสีที่มีความปลอดภัยต่อเจ้าของบ้านและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จึงมองว่าผลิตภัณฑ์รักษ์โลกเป็นแค่ subsec เพราะคนที่ aware ตรงนี้ก็ไม่ได้มีจำนวนมากนักเมื่อเทียบกับตลาดรวม อาจจะเป็นแค่คนที่พร้อมจะจ่ายเพิ่มขึ้น

เทรนด์ใหญ่ที่เราอยากเห็นก็คือ คนลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง ลุกขึ้นมาปรับปรุงบ้าน อย่างบ้านแถวทำเลใจกลางเมือง โซนที่มีการอยู่อาศัยหนาแน่นอย่างลาดพร้าวซึ่งมีบ้านจัดสรรแห่งแรก ๆ ของเมืองไทย ทำมาไม่ต่ำกว่า 40 ปี ถึงเวลาที่ต้องรีโนเวตบ้านได้แล้ว ในขณะที่สีเป็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงได้ง่ายมาก

TOA เคยนำเสนอฟูลเซอร์วิส ตอบเพนพอยต์ลูกค้า สมัยก่อนเพนพอยต์ก็คือมองภาพไม่ออกว่าทาสีแล้วจะเป็นยังไง ปัจจุบันเทคโนโลยีทำให้เห็นภาพก่อนทาสีก็มีตัวอย่างให้เขาเห็นว่าทาเสร็จแล้วภาพจะเป็นยังไง บางคนอาจต้องการความสบายใจ หรือบางคนแค่อยากเปรียบเทียบราคาเราก็ยินดี ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่อยากให้ (เจ้าของบ้าน) ลุกขึ้นมาปรับปรุงเปลี่ยนแปลง เพราะสีช่วยได้เยอะจริง ๆ

ไม่รีบ-ลงทุนแตกไลน์ธุรกิจ

ปี 2565 ยังครับ ตอนนี้ต้องใช้เวลาในการย่อยของใหม่ก่อน หมายถึงบริษัทเพิ่งลงทุนเปิดตลาดกระบื้อง ยิปซัม และปืนกาวในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนรายได้ไม่เยอะ ไม่ถึง 5% ค่อย ๆ ทำ ไม่ต้องรีบร้อน

ถอดบทเรียนจากโควิด

การทำธุรกิจในช่วงประเทศล็อกดาวน์ทำให้ต้องใช้เวลาเยอะเหมือนกัน เราก็ต้องเอาออนไลน์เข้ามาเกี่ยวข้องกับการทำงาน ซึ่งผมก็ชอบนะ เพราะการประชุมออนไลน์ทำให้เลิกตรงเวลาดี (ยิ้ม) แต่คนจะไม่ได้เจอหน้ากัน ในเรื่องกำลังคน TOA ไม่ได้ลดคนแม้จะเจอวิกฤตเศรษฐกิจ เหตุผลส่วนหนึ่งเพราะเรามีการขยายธุรกิจเพิ่มเติมด้วย ปัจจุบันบุคลากรทั้งเครือมี 3,000 กว่าคน

เข็มนาฬิกา ศก.ไทย เลข 7-8

เศรษฐกิจในยุคโควิดไม่ได้กระทบเฉพาะไทยประเทศเดียว แต่กระทบไปทั่วโลก ถ้าให้เปรียบเทียบภาวะเศรษฐกิจไทย คิดว่าปีนี้เข็มนาฬิกาน่าจะชี้ระหว่างเลข 7 กับเลข 8 หมายถึงเศรษฐกิจกำลังตั้งไข่อยู่ ก็มีความหวังว่าปีหน้าน่าจะเป็นเทรนด์ขาขึ้นในการกลับมาทำธุรกิจอีกครั้ง