ผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่ จองซื้อตราสารเงินกองทุน ธ.กรุงศรีอยุธยา อย่างล้นหลาม ปิดการขายได้ตามเป้า ด้วยมูลค่ารวม 16,540 ล้านบาท

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ขอบคุณผู้ลงทุนที่จองซื้อ “ตราสารเงินกองทุน” อายุ 10 ปี อย่างล้นหลามตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ด้วยมูลค่ารวมทั้งสิ้น 16,540 ล้านบาท สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อธนาคาร พร้อมเดินหน้าเป็น “พันธมิตรที่ลูกค้าธุรกิจไว้วางใจ” และชูธงการเป็นผู้นำนวัตกรรมทางการเงินและองค์ความรู้ด้าน ESG

ความสำเร็จของการเสนอขาย “ตราสารเงินกองทุนชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทด้อยสิทธิ และไม่มีประกัน ไม่มีผู้แทนผู้ถือตราสารเงินกองทุน” หรือ ตราสารด้อยสิทธิเพื่อนับเป็นเงินกองทุนประเภทที่ 2 ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สะท้อนว่า ผู้ลงทุนมั่นใจในความแข็งแกร่งมั่นคงของผู้ออกตราสาร และอันดับความน่าเชื่อถือของตราสาร ควบคู่ไปกับอัตราผลตอบแทนที่จะได้รับ

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เป็นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่อันดับ 5 ในระบบเศรษฐกิจไทย และเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่มีความสำคัญต่อระบบการเงินและระบบเศรษฐกิจของประเทศ (D-SIB)  จึงต้องมีความแข็งแกร่ง มั่นคง มากเป็นพิเศษ เพราะมีธุรกรรมเชื่อมโยงกับสถาบันการเงินต่างๆ และเกี่ยวข้องกับประชาชนเป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ยังเป็นสถาบันการเงินในเครือมิตซูบิชิ ยูเอฟ เจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) ซึ่งเป็นกลุ่มสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในกลุ่มสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยเครือข่ายสำนักงานกว่า 2,400 แห่ง ในกว่า 50 ประเทศทั่วโลก และมีพนักงานกว่า 170,000 คน

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ได้เสนอขายตราสารเงินกองทุนชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทด้อยสิทธิ และไม่มีประกัน ไม่มีผู้แทนผู้ถือตราสารเงินกองทุน อายุ 10 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ.2575 โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 4.30 ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน อันดับความน่าเชื่อถือของตราสารอยู่ที่ระดับ AA(tha) จากบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2565

ทั้งนี้ ธนาคารมีสิทธิไถ่ถอนตราสารเงินกองทุนก่อนกำหนดได้ ณ วันครบรอบ 5 ปี หรือวันครบกำหนดชำระดอกเบี้ยใดๆ หลังจากนั้น และมีข้อกำหนดให้สามารถตัดเป็นหนี้สูญ (ทั้งจำนวนหรือบางส่วน) หากทางการตัดสินใจเข้าช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ออกตราสารเงินกองทุน

ในด้านของฐานะการเงินของกรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ)  ณ วันที่ 30 กันยายน 2565 มีสินเชื่อรวม 1.97 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.71 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 2.59 ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารอยู่ที่ 297.13 พันล้านบาท หรือเทียบเท่า 17.62% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นของเจ้าของคิดเป็น 12.99%

ด้านผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปี 2565 มีกำไรสุทธิจำนวน 23.32 พันล้านบาท เติบโต 21.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 3.44% จาก 3.23% ในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2564 เป็นผลมาจากการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ และการบริหารจัดการโครงสร้างและต้นทุนทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพของธนาคาร

ทั้งนี้ กรุงศรี ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อส่งเสริมการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน และให้ความรู้เกี่ยวกับความก้าวหน้าด้าน ESG Financing ในตลาดการเงินโลกร่วมกับ MUFG เพื่อส่งเสริมการเติบโตของตลาดการเงินเพื่อความยั่งยืนในประเทศไทย โดยได้เตรียมแนวทางและผลิตภัณฑ์ด้านสังคม (Social) และการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance) ที่พร้อมให้การสนับสนุนกับลูกค้า เช่น สินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน หุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน และ หุ้นกู้ ESG รวมถึงการให้สินเชื่อเพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจด้านสิ่งแวดล้อมเป็นพิเศษ เช่น โซลาร์รูฟ (Solar Roof)

กรุงศรี พร้อมให้คำปรึกษาทางธุรกิจโดยทีมผู้จัดการความสัมพันธ์ซึ่งผสานความร่วมมือจากทุกหน่วยงานภายในกรุงศรี เพื่อตอบโจทย์การเป็น Trusted Partner หรือพันธมิตรที่ลูกค้าไว้วางใจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

ผู้ประกอบธุรกิจที่สนใจเป็นพันธมิตรกับกรุงศรี สามารถติดต่อธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้ทุกสาขา