พัชรวาท กำชับ กรมน้ำ ตรวจเช็คสถานีฯ พร้อมแจ้งเตือนชาวบ้าน

ปัจจุบันความแปรปรวนของลมฟ้าอากาศและสภาพภูมิอากาศทำให้เกิดภาวะภัยแล้งและน้ำท่วม รวมถึงสถานการณ์ภัยพิบัติน้ำหลาก-ดินถล่ม ที่นับวันจะทวีความรุนแรงและมีความถี่ของการเกิดบ่อยครั้งขึ้น ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน สภาพเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ นับเป็นมูลค่ามหาศาลในแต่ละปี การนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาช่วยในเตือนภัยล่วงหน้าเป็นทางหนึ่งที่จะลดผลกระทบและป้องกันการสูญเสียชีวิต และทรัพย์สิน ซึ่งหลายพื้นที่ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงเห็นความสำคัญของโครงการระบบเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning system) และให้ความร่วมมือในการศึกษา รับฟัง ตลอดจนปฏิบัติตามการแจ้งเตือนในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

วันนี้ (21 สิงหาคม 2567) นายสุเมธ สายทอง รองอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายทศพล เผื่อนอุดม รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงใหม่ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้นำท้องถิ่น ลงพื้นที่ตรวจติดตามระบบเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning system) บ้านขุนกลาง และบ้านน้ำลัด ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เนื่องจากในปี 2565 เกิดสถานการณ์ฝนตกหนักเทกระหน่ำในพื้นที่ภาคเหนือส่งผลให้มีปริมาณน้ำฝนไหลเอ่อลงห้วยหนอง คลอง บึงเป็นจำนวนมาก น้ำสีขุ่นแดงและดำไหลมารวมกับแม่น้ำสายสำคัญ ปริมาณสูงและไหลหลากลงสู่พื้นที่ราบลุ่มอย่างรวดเร็ว ทำให้ชาวบ้านที่อยู่ติดกับลำน้ำได้รับความเดือดร้อนเป็นบริเวณกว้าง ชาวบ้านในพื้นที่อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับผลกระทบจำนวนมาก เนื่องจากน้ำท่วมเข้าบ้านอย่างหนัก สูงท่วมหัว ซึ่งไม่เคยพบเห็นเหตุการณ์น้ำเยอะและไหลท่วมบ้านเรือนอย่างรวดเร็ว ข้าวของขนไม่ทัน รถยนต์และสิ่งของอื่น ๆ จมน้ำเสียหาย บางคนก็ต้องลอยคอหนีออกบ้าน บางคนก็เอาทรัพย์สินที่พอจะเอาออกมาได้ ซึ่งน้ำที่ไหลเข้าท่วมกินพื้นที่ประมาณ 100 ไร่

นายสุเมธ สายทอง กล่าวว่า “กรมทรัพยากรน้ำ โดย กองวิจัย พัฒนา และอุทกวิทยา และสำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 เตรียมพร้อมรับมือฝนตกหนักในพื้นที่ภาคเหนือด้วยมาตรการ 3 ต. คือ 1.“เตือน” ระบบเตือนภัยล่วงหน้า Early Warning มีความพร้อมใช้งานได้ปกติ มีช่องทางการติดตามสถานการณ์ผ่านอินเทอรเน็ต และ Mobile Application : EWS DWR มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานเฝ้าระวัง 24 ชม. รวมถึงมีการตรวจสอบระดับน้ำให้อยู่ในระดับปกติ 2. “ตรวจ” ตรวจสอบความมั่นคงและการชำรุดของสิ่งก่อสร้าง อาคารบังคับน้ำต่างๆ ให้ความรู้กับประชาชนเกี่ยวกับการใช้น้ำ พื้นที่ชุ่มน้ำ และการจัดตั้งกลุ่มผู้ใช้น้ำ และ 3. “เตรียม” การสนับสนุนประสานงานต่างๆ เตรียมเครื่องจักร น้ำมันเชื้อเพลิงให้พร้อมใช้งาน รวมถึงน้ำดื่มสะอาด และเจ้าหน้าที่เผชิญเหตุสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั้งนี้ปัจจุบัน กรมทรัพยากรน้ำได้ดำเนินการติดตั้งสถานีเตือนภัยล่วงหน้ามาแล้ว ทั้งสิ้น 2,156 สถานี ครอบคลุม 5,947 หมู่บ้าน ทั่วประเทศ และในปีงบประมาณที่ผ่านมา ตั้งแต่ตุลาคม 2566 – กรกฎาคม 2567 มีการแจ้งเตือนภัย 899 ครั้ง ในพื้นที่ 2,542 หมู่บ้าน จากการดำเนินงานที่ผ่านมายังไม่พบรายงานการสูญเสียชีวิตของประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย

ADVERTISMENT

ซึ่งโครงการดังกล่าวสามารถลดความเสียหายที่เกิดขึ้นกับชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้ นอกจากนี้กรมทรัพยากรน้ำได้บูรณาการทำงานร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย โดยจะส่งข้อมูลเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ความเสี่ยงให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ หากจำเป็นต้องอพยพประชาชน จะมีการวางแผนเรื่องการอพยพและพื้นที่อยู่อาศัยชั่วคราว และปัจจุบันกรมทรัพยากรน้ำไม่หยุดพัฒนาโครงการระบบเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning system) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย–ดินถล่ม บริเวณพื้นที่ลาดชันและพื้นที่ราบเชิงเขา เพื่อติดตามเฝ้าระวังและเตือนภัยล่วงหน้าพื้นที่เสี่ยง โดยใช้หลักการในการตรวจวัดข้อมูลปริมาณน้ำฝนหรือระดับน้ำท่า พร้อมทั้งหาความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณน้ำฝนและเหตุการณอุทกภัยน้ำหลาก – ดินถล่ม ที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้น ทำให้เกิดความเสียหายเพื่อกำหนดค่าวิกฤติที่จะใช้ในการเตือนภัย โดยข้อมูลอุตุนิยมวิทยาและอุทกวิทยาที่ตรวจวัดได้จะถูกส่งผ่านระบบสื่อสารข้อมูลที่ทันสมัยเพื่อประมวลผล ณ ห้องปฏิบัติการเฝ้าระวังและเตือนภัยน้ำหลาก – ดินถล่ม (Early Warning Room) ซึ่งมีเจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรน้ำปฏิบัติงาน 24 ชั่วโมง”

ADVERTISMENT

นายสุเมธ สายทอง ย้ำอีกว่า “กรมทรัพยากรน้ำได้เตรียมความพร้อมและได้สั่งการกำชับให้ทุกพื้นที่ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารในทุกช่องทางให้กับประชาชนรับทราบโดยเร็ว พร้อมทั้งให้นําข้อมูลมาวิเคราะหประเมินสถานการณ์ด้วยโปรแกรมเฉพาะที่ทันสมัย และให้มีการแจ้งเตือนภัย รายงานผลผ่านทางอินเทอร์เน็ต และ Mobile Application เพื่อความรวดเร็วในการแจ้งข้อมูลแก่ส่วนภูมิภาค และประชาชน เมื่อมีสถานการณ์เสี่ยงภัยพิบัติ ผู้รู้จะทำการแจ้งเตือนภัยแก่ประชาชนในพื้นที่ และเป็นผู้ประสานแจ้ง ข้อมูลให้ผู้นําชุมชนตัดสินใจอพยพประชาชนไปยังพื้นที่ปลอดภัย”

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลการเตือนภัยผ่านช่องทาง application : EWS DWR ทั้งในระบบ Android และระบบ IOS และผ่านเว็บไซต์ https://ews.dwr.go.th หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 1310 กด