การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพจากโลกเดือด ถึงจุดจบมนุษยชาติ ?

โลกร้อน
ภาพจาก pixabay

โลกเดือด สัญญาณอันตรายเมื่อไทยอุณหภูมิพุ่งสูง 50 องศา เป็นอย่างไร ? การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ อาจเป็นจุดจบของมวลมนุษยชาติ ในขณะที่ภาคธุรกิจ ต่อไปจะมีเกณฑ์วัด Biocredit

วันที่ 7 มีนาคม 2567 ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กำลังสร้างผลกระทบทั่วโลก เพราะอุณหภูมิของโลกยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีรายงานว่าบางจังหวัดอาจร้อนทะลุ 50 องศาเซลเซียส ซึ่งถือว่าอยู่ในระยะอันตราย

โลกเดือด จุดจบมนุษยชาติ ?

ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ได้กล่าวบนเวทีสัมมนา งานอรุณ สรเทศน์ รำลึก 2567 ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงความท้าทายในการเดินหน้าอนาคตประเทศ โดยเฉพาะอุณหภูมิของโลกที่นับว่ายิ่งสูงขึ้น

โดย ดร.พิรุณกล่าวว่า หายนะมีหลายรูปแบบ ที่เพิ่งผ่านพ้นไปคือ โควิด-19 และกำลังเผชิญกับวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่กำลังก้าวเข้าสู่ “Biodiversity Collapse” หรือการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพทั้งพืชและสัตว์ ซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่ถึงตรงนี้ นั่นคือจุดจบของมวลมนุษยชาติ

“ผลกระทบที่เราเห็นภาพชัดเจนคือ หมีขั้วโลกเริ่มอยู่ยาก เพราะน้ำแข็งขั้วโลกละลาย ทำให้เขาไม่สามารถหาอาหารได้ในเขตที่อาศัยอยู่ หรือดอกไม้บานในแอนตาร์กติกา เป็นความสวยงามที่แฝงหายนะ เพราะการที่ดอกไม้บานในขั้วโลกที่มีแต่ธารน้ำแข็งไม่ใช่เรื่องที่เราควรมองข้าม

รวมถึงประเทศไทย กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าอุณหภูมิโลกอาจจะสูงขึ้นไปถึง 50 องศาเซลเซียส แน่นอนว่ากระทบต่อการจัดการชีวิตประจำวันของทุกคนแน่นอน โดยเฉพาะด้านสุขภาพ อาหารการกิน หรืออย่างทะเล นักวิชาการ กรมทะเลและชายฝั่งก็เริ่มออกมาเตือนว่า เราอาจเผชิญกับปะการังฟอกขาวในน้ำทะเลอีกครั้ง”

ADVERTISMENT

ดร.พิรุณกล่าวต่อว่า สิ่งที่เกิดขึ้น เราก็ต้องร่วมกันแก้ปัญหาก่อน ด้วยวิธีใดก็ตาม เพื่อหวังผลว่า อีก 15-20 ปีข้างหน้า ผลกระทบจะบรรเทาลง และอยู่ในระดับที่มั่นคง ยั่งยืน

“วันนี้เลขาธิการสหประชาชาติบอกว่า สถานการณ์ปัจจุบัน ไม่ใช่ยุคของ Global warming แต่มันคือ Global Boiling หรือ ยุคโลกเดือด การที่เรามาสู่จุดนี้ เพราะโลกทั้งโลกปล่อยก๊าซเรือนกระจกสะสมไปแล้วกว่า 2,500 จิกะตัน (Gt) หรือคิดเป็น 2,500 ล้านล้านตัน

ADVERTISMENT

ทั้งนี้ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจมหาศาลคือปัญหาสิ่งแวดล้อม หนึ่งในนั้นคือปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การประชุมดาวอส มีการพูดกันว่า ถ้ามันรุนแรงขึ้น อาจจะมีมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจอยู่ที่ 12.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2050 หรือ 27 ปีต่อจากนี้

โดยกติกาโลกก็จะเปลี่ยน ธุรกิจต้องมองเรื่องความยั่งยืนมากขึ้น รวมถึงซัพพลายเชนต้องเป็นสีเขียว ตลาดคาร์บอนจะมีบทบาทในการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ไม่ใช่เครื่องมือหลัก การจัดการคาร์บอนเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ต้องใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น เพื่อให้เราเข้าสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ และจากนี้การรายงานการปล่อยก๊าซจากนี้ต้องมีความโปร่งใสมากขึ้น”

ดร.พิรุณกล่าวอีกว่า เราต้องเปลี่ยนผ่านเรื่องพลังงานให้ได้ ไม่เช่นนั้นไทยไม่มีทางเป็นกลางทางคาร์บอน หรือเป็น Net Zero ได้ รวมถึง Carbon Tax จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในอนาคต แรงกดดันจากต่างประเทศก็จะมากขึ้นด้วย เพราะวันนี้เริ่มเห็นว่า CBAM มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (European Union หรือ EU) ต้องเสียเงินให้เขา ถ้าปริมาณการปล่อยก๊าซของเรามากกว่าเขา แว่ว ๆ ว่าจะมีอเมริกา แคนาดา และอียูจะเพิ่มผลิตภัณฑ์ ตอนนี้กำหนดแค่ 5 ต่อไปอาจจะมากกว่าเดิม

Top 5 ประเทศปล่อยก๊าซสูงสุดในโลก

ดร.พิรุณเผยอีกว่า อย่างไรก็ตาม เราจำเป็นต้องปรับตัว ประเทศพัฒนาแล้วควรจะให้ความสำคัญมากกว่านี้ เพราะว่าอุณหภูมิสูงขึ้นทุกวัน จากข้อมูลจะพบว่าก๊าซเรือนกระจกที่สะสมทุกวันนี้ ส่วนใหญ่ก็มาจากประเทศพัฒนาแล้วทั้งหมด โดย Top 5 ประเทศที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดมีดังนี้

  • อันดับ 1 จีน ปล่อย 25% ประมาณ 12,705 ล้านตัน
  • อันดับ 2 อเมริกา ปล่อย 12% ประมาณ 6,000 ล้านตัน
  • อันดับ 3 อินเดีย ปล่อย 7.02% ประมาณ 3,395 ล้านตัน
  • อันดับ 4 อินโดนีเซีย ปล่อย 3.93% ประมาณ 1,913 ล้านตัน
  • อันดับ 5 รัสเซีย ปล่อย 3.93% ประมาณ 1,890 ล้านตัน

ในขณะที่ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 19 ประมาณ 0.93% ซึ่งข้อมูลนี้เป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นจาก NGO ยังไม่ใช่ข้อมูลทางการที่เปิดเผยโดยสหประชาชาติ

การวัด Biocredit กลไกตลาดดูแลสิ่งแวดล้อม

สอดคล้องกับนายวีรวิชญ์ เธียรชัยนันท์ ผู้อำนวยการโครงการแม่โขงเพื่ออนาคต องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) เคยกล่าวเอาไว้ตอนหนึ่งในงานสัมมนา “Green Economy : Next Growth and Survive” ที่จัดขึ้นโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับพันธมิตร ใจความว่า เกมของโลกเปลี่ยน ทำให้การทำธุรกิจจำเป็นต้องเปลี่ยนไปตามวิวัฒนาการ ณ เวลานี้เรากำลังมีการตรวจสอบเรื่องของคาร์บอนเครดิต และมีการวัดว่าธุรกิจที่คุณกำลังดำเนินอยู่นั้นปลดปล่อยคาร์บอนมากน้อยแค่ไหน ปล่อยจากอะไรบ้าง ซึ่งไม่ใช่ข้อบังคับ เป็นการทำตามสมัครใจ ถือเป็นจุดเริ่มต้น แต่ยังเป็นความท้าทายเพราะว่าเกมโลกเปลี่ยน

สุดท้ายเราก็ต้องเปลี่ยนตาม สมมุติว่าในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ถ้าไม่มีการวัดคาร์บอน ต่อไปผลิตภัณฑ์ที่ออกมา ถ้าไม่มีการระบุว่าปล่อยคาร์บอนเท่าไหร่ ก็อาจจะเอาไปขายในตลาดไม่ได้ แต่ถ้าเริ่มวัดตั้งแต่ตอนนี้จะเป็นประโยชน์ หรือบริษัทใหญ่ ๆ ถ้าไม่มีรายงานด้านคาร์บอน กลุ่มผู้ลงทุนรายใหญ่อาจจะลงทุนไม่ได้

“ส่วนสเต็ปต่อไปอาจเป็นเรื่องเครดิตความหลากหลายทางชีวภาพ (ฺBiodiversity Credits หรือ Biocredits) เป็นหนึ่งนวัตกรรมที่นำกลไกตลาดมาใช้ในการระดมเงินทุนเพื่อดูแลธรรมชาติ ซึ่งการทำงานของไบโอเครดิต มีลักษณะคล้ายกับคาร์บอนเครดิตในตลาดภาคสมัครใจ

ตอนนี้เราอาจพูดถึงคาร์บอนเครดิต เราลดคาร์บอนอย่างเดียว แต่ไม่ได้หมายความว่าความหลากหลายทางชีวภาพจะดีขึ้นไปด้วย ตอนนี้ในเวทีต่าง ๆ มีการพูดคุยกันว่า ต่อไปอาจจะมี Biocredit ขึ้นมา”