Hope Frozen สารคดีเรื่องที่ 2 ของไทย ที่ Netflix นำเสนอสู่สายตาชาวโลก

เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เน็ตฟลิกซ์ (Netflix) เปิดตัวสารคดี “ONE TAKE” สารคดีที่เล่าเรื่องราวของสาว ๆ ไอดอลวง BNK48 ซึ่งเป็นสารคดีภาษาไทยเรื่องแรกที่เน็ตฟลิกซ์ร่วมสร้างสรรค์ หรือที่เรียกว่า Netflix original documentary

เดือนนี้ วันที่ 15 กันยายน เน็ตฟลิกซ์มีกำหนดเปิดตัวสารคดีไทยเรื่องที่ 2 ที่น่าจะ “ปัง” กว่าเรื่องแรก เพราะเป็นเรื่องราวที่มีความเป็นสากลมากกว่า นั่นคือ “Hope Frozen : A Quest To Live Twice” ชื่อภาษาไทยว่า “ความหวังแช่แข็ง : ขอเกิดอีกครั้ง” กำกับโดย ไพลิน วีเดล นักข่าวสาวสัญชาติไทย-อเมริกัน ที่ใช้เวลาติดตามสถานการณ์อยู่หลายปี เพื่อสร้างสรรค์สารคดีเรื่องนี้

ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Hope Frozen นำเสนอเรื่องราวของครอบครัวไทยครอบครัวหนึ่งที่เคยเป็นข่าวดังเมื่อหลายปีก่อน จากกรณีที่พวกเขา “แช่แข็ง” ส่วนหนึ่งในร่างกายของลูกน้อยเอาไว้ เพื่อรอคอยความหวังว่าการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ในอนาคตจะสามารถทำให้ลูกน้อยกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง

ครอบครัวเนาวรัตน์พงษ์ เป็นครอบครัวชาวไทยที่ทั้งพ่อและแม่ ดร.สหธรณ์ และ ดร.นารีรัตน์ เนาวรัตน์พงษ์ อยู่ในแวดวงวิทยาศาสตร์ เป็นเจ้าของบริษัทผลิตและวิจัยเครื่องมือทางการแพทย์

ด้วยความหวังว่ามีโอกาสที่จะสามารถทำให้ “น้องไอนส์” ลูกสาววัย 2 ขวบที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งสมอง มามีชีวิตได้อีกครั้ง ครอบครัวนี้จึงนำสมองของลูกน้อยเข้าสู่กระบวนการไครออนิกส์ (cryonics) ที่มูลนิธิอัลคอร์ ไลฟ์ เอ็กซ์เทนชั่น (Alcor Life Extension Foundation) ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อรอคอยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในอนาคต

ไพลิน วีเดล
ไพลิน วีเดล

ไพลิน วีเดล เป็นหนึ่งในนักข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศที่มาติดตามทำข่าวเรื่องนี้ เมื่อได้เจอกับครอบครัวเนาวรัตน์พงษ์ เธอพบว่ามีรายละเอียด มีคำถามและความสงสัยอีกมากมาย เธอจึงอยากนำเสนอผ่านภาพยนตร์สารคดี

ผู้กำกับสาวบอกเหตุผลที่รู้สึกสนใจเรื่องนี้จนอยากนำเสนอให้คนได้ดูว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องความหวังและความรัก ซึ่งเธอมองว่าเป็นเรื่องที่ connect กับใครก็ได้ เพราะความหวังและความรักคือทุกสิ่งทุกอย่างของการมีชีวิตอยู่ ดังนั้น สารคดีเรื่องนี้น่าจะสร้างความหวังและแรงบันดาลใจไปพร้อม ๆ กับกระตุ้นให้คนดูได้คิด

ไพลินใช้เวลาถ่ายทำสารคดีเรื่องนี้ 2 ปี โดยไม่ได้กำกับใด ๆ ด้วยความที่สารคดีคือ การนำเสนอ “เรื่องจริง” เพราะฉะนั้น การทำสารคดีจึงคาดหวังอะไรไม่ค่อยได้ เธอเฝ้ารอจนกว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้น รอเวลาที่บุคคลในเรื่องต้องการจะพูด-ให้ข้อมูล-บอกความรู้สึก ซึ่งเธอบอกว่าการทำงานแบบนี้ “เป็นการทำงานแบบโปร่งใส”

“เราไม่ต้องไปกดดันที่จะกำกับอะไรทั้งสิ้น มันก็เลยมีความอิน เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นมันเป็นความจริงหมดเลย”

แต่การ “ไม่กำกับ” ไม่ได้แปลว่าจะปล่อยให้สารคดีดำเนินไปอย่างเรียบ ๆ ไม่น่าสนใจ ไพลินบอกว่า การทำหนังสารคดีเรื่องนี้ทำโดยใช้องค์ความรู้ในการทำ feature film หรือภาพยนตร์เพื่อความบันเทิงที่เราคุ้นเคยกัน คือมีการทำให้คนอินกับแคแร็กเตอร์ เน้นความเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร ไม่ได้เน้นให้ข้อมูลความรู้อย่างภาพยนตร์สารคดี (documentary film)

“การทำสารคดีแบบนี้ในเมืองไทยมีน้อยมาก ซึ่งอยากจะบอกว่าการทำสารคดีมันมีหลากหลาย ถ้าใครไม่เคยดู เข้าไปดูเถอะ เพราะมันเป็นสิ่งที่ใหม่ และเป็นสิ่งที่เราเชื่อว่าทุกคนจะสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าสารคดีที่เน้นความรู้” ผู้กำกับของเรื่องบอก

ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ได้ไปตระเวนฉายในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติหลายงาน และคว้ารางวัลมาแล้วเกือบ 10 รายการ รางวัลที่สำคัญคือ รางวัลภาพยนตร์สารคดีต่างประเทศยอดเยี่ยม จากเทศกาล HOT DOCS ที่ประเทศแคนาดา ปี 2019 ซึ่งการได้รับรางวัลนี้ทำให้ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ได้รับสิทธิ์เข้าชิงรางวัลออสการ์โดยอัตโนมัติ

การไปฉายในเทศกาลภาพยนตร์ต่าง ๆ ทำให้ผลงานสารคดีของไพลิน วีเดล ไปเข้าตาทีมงานเน็ตฟลิกซ์ ซึ่งมีทีมงานหูตาดีคอยเลือกสรรค์ภาพยนตร์เข้ามาลงฉายในแพลตฟอร์มของตัวเอง

อดัม เดล เดโอ รองประธานฝ่ายสารคดีออริจินอลของเน็ตฟลิกซ์ บอกว่า ทีมงานเน็ตฟลิกซ์รู้จักสารคดีเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว ก่อนจะได้ไปสัมผัสมันจริง ๆ ในงาน HOT DOCS ที่แคนาดา ทีมเน็ตฟลิกซ์เห็นว่าสารคดีเรื่องนี้เข้ากับแฟ้มผลงานของเน็ตฟลิกซ์ ที่ต้องการจะนำเสนอผลงานที่เป็น best in class จึงได้เซ็นสัญญาคว้าสิทธิ์ฉายสารคดี Hope Frozen และได้สนับสนุนงบประมาณสำหรับพัฒนาคอนเทนต์เพิ่มเติม

เพื่อให้เป็นภาพยนตร์สารคดีเวอร์ชั่นใหม่สำหรับเน็ตฟลิกซ์ ที่แตกต่างจากเวอร์ชั่นที่เคยฉายในเทศกาลภาพยนตร์ต่าง ๆ เพื่อให้เข้าถึงผู้ชมได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เน็ตฟลิกซ์เตรียมนำเสนอภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ โดยมีการพากย์เสียง 10 ภาษา และแปลซับไตเติลออกมาให้เลือกชมมากถึง 31 ภาษา

“ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นหนึ่งในเรื่องที่เน็ตฟลิกซ์มีความภาคภูมิใจที่จะนำเสนอมาก โดยจะนำเสนอไปทั่วโลกกว่า 190 ประเทศ และนี่เป็นโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ทีเดียวที่คนในโลกนี้จะได้มีโอกาสสัมผัสกับเรื่องที่ยิ่งใหญ่เรื่องนี้” ผู้บริหารเน็ตฟลิกซ์กล่าวอย่างน่าตื่นเต้น