อายุน้อยกว่า 35 ปี ระวังมีโรคซ่อน! ความดันโลหิตสูง

ท่ามกลางการใช้ชีวิตแบบระแวง ช่างไม่มีความสุขเอาเสียจริง วินาทีนี้ต้องบอกว่าเป็นเพราะโควิด-19 โรคเดียว ทำเอาโลกหยุดหมุน

เราอาจพูดกันบ่อย การลดความดันโลหิตสูงได้แค่ปรับพฤติกรรม แต่ในผู้ป่วยที่อายุน้อยกว่า 35 ปี อาจเป็นความดันโลหิตสูงจากโรคที่ซ่อนอยู่ หากรักษาหายก็มีโอกาสที่ค่าความดันจะกลับมาเป็นปกติได้

“ความดันโลหิต” คือ ค่าความดันภายในหลอดเลือดแดงที่เกิดจากการบีบตัวของหัวใจ เพื่อส่งออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

แบ่งออกเป็น 2 ค่าประกอบด้วย ค่าความดันโลหิตตัวบน (Systolic blood pressure) คือค่าความดันโลหิตในหลอดเลือดที่เกิดขึ้นขณะที่หัวใจบีบตัว

ส่วนค่าความดันโลหิตตัวล่าง (Diastolic blood pressure) คือค่าความดันของเลือดที่ขณะที่หัวใจคลายตัว

ในประเทศไทยกำหนดค่าความดันโลหิตปกติ คือ ค่าความดันโลหิตตัวบนไม่เกิน 140 และตัวล่างไม่เกิน 90 มิลลิเมตรปรอท

หากเกินกว่านี้ถือว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการเวียนหัว ปวดหัว เหนื่อยง่าย มึนงง

นายแพทย์ศุภสิทธิ์ สถิตย์ตระกูล อายุรแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลเวชธานี กล่าวถึงสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูงว่าแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ

1.ไม่มีสาเหตุชัดเจน ซึ่งเป็นกลุ่มที่พบมากที่สุด โดยเฉพาะคนที่อายุมากขึ้นก็จะทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นเรื่อย ๆ

2.มีสาเหตุอื่นซ่อนอยู่ (secondary hypertension) เช่น หลอดเลือดแดงใหญ่ตีบ โรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของฮอร์โมนบางชนิด โรคไตเรื้อรัง หรือโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดไต เป็นต้น

ซึ่งพบได้ประมาณร้อยละ 10-20 ของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง

“การวัดค่าความดันโลหิตเพียงครั้งเดียวยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง จำเป็นต้องวัดซ้ำ 2-3 ครั้ง และตรวจติดตามเป็นระยะ ๆ เพราะค่าความดันโลหิตเป็นตัวเลขที่มีปัจจัยหลายอย่างมาก มีผลกระทบง่าย เช่น ความเหนื่อย ความเครียดหรือกังวล” นายแพทย์ศุภสิทธิ์กล่าวและว่า

นอกจากนี้ ในกลุ่มคนที่อายุน้อยก็สามารถเป็นโรคความดันโลหิตสูงได้เช่นกัน คือเป็นได้ทั้งแบบมีสาเหตุและไม่มีสาเหตุ

แต่ถ้าอายุน้อยกว่า 35 ปีแล้วเริ่มเป็นโรคความดันโลหิตสูงควรค้นหาว่า “มีโรคอื่นซ่อนอยู่หรือไม่”

เพราะถ้าตรวจเจอแล้วรักษาโรคที่ซ่อนอยู่ได้ โรคความดันโลหิตสูงก็มีโอกาสหายขาดเช่นกัน โดยไม่ต้องกินยาไปตลอดชีวิต

สำหรับการรักษาโรคความดันโลหิตสูง แบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ การรับประทานยาและการปรับพฤติกรรม ซึ่งการปรับพฤติกรรมถือว่าเป็นวิธีที่สำคัญมาก โดยมีข้อปฏิบัติดังนี้

1.ลดหรือหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสเค็ม ควรจำกัดโซเดียมไม่เกิน 2 กรัมต่อวัน หรือเทียบเท่ากับเกลือแกง 1 ช้อนชา หากเป็นน้ำปลาหรือซีอิ๊ว ไม่ควรเกิน 3-4 ช้อนชาต่อวัน

2.ลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน โดยดัชนีมวลกายไม่เกิน 23 ผู้ชายรอบเอวไม่เกิน 36 นิ้ว ผู้หญิงไม่เกิน 32 นิ้ว ซึ่งคนที่มีน้ำหนักเกินมีโอกาสเป็นโรคความดันโลหิตสูงได้มากกว่าคนที่น้ำหนักปกติ

3.ออกกำลังกายสม่ำเสมอจะช่วยลดค่าความดันโลหิตสูงได้

4.งดสูบบุหรี่

5.หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

หากปรับพฤติกรรมเหล่านี้ได้ตามมาตรฐานสากล มั่นใจว่าจะช่วยควบคุมค่าความดันโลหิตได้ หรืออาจทำให้ค่าความดันโลหิตลดลง

ส่วนผู้ป่วยที่ต้องรับประทานยา ก็ควรรับประทานให้ครบตามแพทย์สั่ง และพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง

นอกจากนี้ นายแพทย์ศุภสิทธิ์ยังแนะนำให้ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง “วัดความดัน” เองที่บ้าน พร้อมจดบันทึกเป็นประจำทุกวัน เพื่อเป็น “ข้อมูล” ให้แพทย์ได้วินิจฉัย ประเมินอาการ หรือปรับยาตามความเหมาะสม