กรกนก มาอินทร์ / ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ปฏิเสธไม่ได้ว่าขาช้อปที่ชื่นชอบในการจับจ่ายซื้อของต้องเคยได้ยินประโยคที่ว่า “ของมันต้องมี” ผ่านหูกันมาบ้าง
วลีเด็ดจาก “สู่ขวัญ บูลกุล” ในรายการทางยูทูบของ “นิตยสารเเพรว” ตอบโจทย์คอโซเชียล ถูกจริตคนรักในการช้อปปิ้ง นำมาซึ่งกระเเสความนิยมอย่างมาก
“Celeb Blog” อีกหนึ่งรายการที่ทำมาเเล้วกว่า 14 ตอน เเละได้รับความนิยมในหมู่เด็กนักเรียนไปจนถึงวัยทำงาน ภาพของการปรับตัวเพื่อการอยู่รอดในยุคของ Media Disruption ตีโจทย์เเตกอย่างถล่มทลาย ทำเอาสาวเล็ก สาวใหญ่ ไปจนถึงหนุ่มๆ ต่างสมัครใจเป็นเเฟนคลับ
เเม้ว่าของที่พิธีกรสาวพาไปส่องนั้นจะราคาสูงระดับไฮเอนด์ แต่ใครหลายคนต่างยืนกรานหนักแน่นว่า “เหมือนพี่ขวัญเป็นตัวเเทนไปช้อปแทนพวกเราเเล้ว”
“สู่ขวัญ” จะเน้นย้ำเสมอว่าการซื้อของราคาสูง ต้องดูงบประมาณของตนเองเป็นหลัก จำได้ว่า “พี่ขวัญ” พูดว่า “จงทำงานหนักในวันนี้ เเละเก็บเงิน อนาคตเราจะสามารถซื้อของพวกนี้ได้อย่างไม่เดือดร้อน” เป็นอีกข้อคิดที่มักฝากไว้เสมอ
“ประชาชาติธุรกิจออนไลน์” พาไปรู้จักที่มาของรายการ “Celeb Blog” จากเหล่าทีมงานผู้อยู่เบื้องหลัง ที่กว่าจะมาเป็นเเต่ละตอนให้ผู้ชมได้ดู งานหลังบ้านไม่ได้หมูๆ เหมือนภาพหน้าฉากที่ได้เห็น ชนิดที่ว่าตัดต่อกันเเบบดุเดือดเลยทีเดียว
“โยธา รัตนเจริญโชค” หรือที่รู้จักกันในนามของ “น้ำหวาน” เเท้จริงเเล้วเขาไม่ได้ชื่อเล่นนี้ เเต่ชื่อว่า “โย” ผู้กำกับรายการ Celeb Blog เปิดฉากเล่าบนเวทีเสวนาวิชาการ ที่คณะวารสารศาสตร์เเละสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่า ชื่อน้ำหวานมาจากตอนที่พี่ขวัญเห็นตนสั่งน้ำสตอร์เบอร์รี่ปั่น เนื่องจากเป็นคนไม่กินกาเเฟ เลยเรียกตนตั้งเเต่นั้นว่า “น้ำหวาน” ซึ่งถ้าคนดูมีความสุข ก็เเฮปปี้เเล้ว
กว่าจะมาเป็น Celeb Blog
เป็นที่รู้กันอยู่เเล้ว ว่า “นิตยสารเเพรว” สื่อสิ่งพิมพ์ เเละนิตยสารที่มีอายุเก่าเเก่ ปรับตัวมากขึ้น ในยุคที่สื่อจากอินเตอร์เน็ตทรงอิทธิพลอย่างมาก จึงเกิดเป็นรายการ Celeb Blog เผยเเพร่ทางยูทูบ เเละเฟซบุ๊ก
ผู้กำกับรายการอย่าง “น้ำหวาน” เล่าว่า เดิมทีพี่ขวัญจะเขียนเรื่องบิวตี้ลงบล็อก เเฟนเพจให้นิตยสารเเพรว เเต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง เป็นเหมือนความอิ่มตัว คนอ่านคงที่ ไม่เพิ่ม ไม่ลด จึงเริ่มคิดว่าอยากผลิตคอนเทนต์ใหม่ๆ ออกมา นำมาสู่รายการ “Celeb Blog” ซึ่งขณะนั้นยังไม่ได้มีเเพลนรายการ พิธีกร จึงเริ่มปรึกษากับทางทีมว่าจะเลือกใครมาทำรายการ เพื่อให้ตอบโจทย์มากที่สุด
นำมาซึ่งการย้อนกลับไปมองว่า “ขวัญ-สู่ขวัญ” ห่างหายไปจากหน้าจอแก้วนานเเล้ว
“อภิญญา มูลจรัส” หรือที่มักได้ยินเสียงเรียกในรายการบ่อยๆ คือ “เอ๋” โปรดิวเซอร์รายการ อธิบายว่า จุดเริ่มต้นได้ติดต่อไปยังพี่ขวัญเพื่อให้มาเป็นพิธีกร ซึ่งพี่ขวัญตอบตกลง จึงเข้ามาร่วมพูดคุยกันว่าพี่ขวัญชอบเรื่องอะไร อยากทำอะไร เเละเมื่อรู้ว่าพี่ขวัญชอบในเรื่องบิวตี้ ก็มาคุยกันว่าจะทำรายการไปทิศทางไหน
นำมาซึ่งการพาไปช้อปในสถานที่ต่างๆ โดยพี่ขวัญจะเป็นคนดำเนินเรื่อง เลือกซื้อของ อธิบายคุณภาพของสินค้าชิ้นนั้นได้อย่างครอบคลุม เนื่องจากมีประสบการณ์ใช้จริง
รายการ Celeb Blog จึงเป็นเหมือนการขยายความจริง ไม่โกหก ผู้ชมเข้าถึงได้ ดึงความเป็นธรรมชาติของพิธีกร ไม่มีการประดิษฐ์ออกมา โดยมีการพาไปชมสินค้าตั้งเเต่ไฮเอนด์จนถึงการเดินจตุจักร สลับกันไปมา ไม่ให้คิดว่ารายการสอนให้ซื้อเเต่ของราคาสูง
“ทุกอย่างของรายการอยู่ที่ความไม่ตั้งใจ เน้นความเป็นตัวของตัวเอง ทีมงานทุกคนต้องสัมผัสเเละเปิดใจให้พี่ขวัญ เเล้วค่อยสะท้อนออกมาให้คนดูได้เห็น”
รายการมีเสน่ห์ที่ความเป็นธรรมชาติ ดึงดูดคนดูด้วยเนื้อหาที่ตั้งใจเล่า…แบบไม่ตั้งใจ
โยธา เล่าว่า การทำงานในส่วนนี้ ความเป็นตัวของตัวเองถือเป็นเรื่องสำคัญมาก เรามีคอนเทนต์ เเผนการทำงานคือ การไม่มีเเผน อาศัยความเป็นตัวเองของพี่ขวัญ ในการดำเนินรายการ ช่างภาพเป็นอีกคนหนึ่งที่สำคัญมาก เพราะเขาจะต้องหันไปหาทุกอย่างตามที่พี่ขวัญพูด ภาพที่ออกมาจึงดูเป็นธรรมชาติ
“ในตอนเเรกๆ เราต้องยอมรับกันก่อนว่าคอนเทนต์อาจยังไม่ได้บูมมากมายอะไร จนเริ่มเข้าตอนที่ 3 ผมเริ่มเล่นกับประโยค #ของมันต้องมี กระเเสก็เริ่มมา เริ่มมีคนดูเยอะขึ้น ซึ่งตอนเเรกก็เเพลนว่ารายการจะมีความยาวประมาณ 7-8 นาที เเต่ช่วงหลังรายการยาวเกือบครึ่งชั่วโมง ก็ยังมีคนดู ตรงนี้ทำให้เห็นว่าคนดูที่คอนเทนต์ของเรามากขึ้น โดยไม่สนใจว่าคลิปจะนานเเค่ไหน”
การดึงคนให้อยู่กับเราจนจบคลิปเป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญ นอกจากงานที่ได้จากช่างภาพเเล้ว ตนต้องมานั่งดูคลิปที่ถ่ายมา ซึ่งบางตอนฟุตเทจยาวกว่า 4-5 ชั่วโมง เพื่อนำมาตัดต่อ ต้องฟังย้ำหลายๆ ครั้ง เเละตัดต่อให้เป็นเรื่องราวที่เรียงต่อกัน ให้คนดูเเล้วรู้สึกสบาย เข้าใจง่าย
ส่วนเพลงประจำรายการที่เป็นกระเเสอยู่ช่วงหนึ่ง เเฟนๆไปลองฟังตาม ต้นตอมาจาก “น้ำหวาน” ที่ต้องนั่งฟังเพลงเป็นพันๆ เพลง เเละเลือกเพลง Dreams ของ Dj Quads มาเพราะคิดว่ามันคือ “สู่ขวัญ” เป็นเอกลักษณ์ที่ฟังเเล้วนึกถึงพี่ขวัญจริงๆ
“หลายคนบอกว่าอยากให้ทำคลิปออกมาทุกวัน ผมก็อยากทำเเบบนั้นเเต่กว่าจะมาเป็น 1 คลิป ใช้เวลาตัดต่อราว 3-4 วัน ผมต้องทำให้คนดูอยู่กับเราจนจบคลิป ยึดคติที่ว่าต้องย้ำคนดูให้เค้าอยากดูทุกๆ 3 วินาที เเบบผมจะตั้งกราฟไว้จาก ระดับล่างสุดคือคนสนใจคลิปเรามากๆ เมื่อกราฟทะยานขึ้นสูงสุด เเสดงว่าคนดูเริ่มเบื่อ ก็ต้องทำให้มันลดต่ำลงมา เเล้วค่อยๆ สูงขึ้นไปใหม่ สลับกันเเบบนี้ เเล้วเค้าจะดูคลิปเราจนจบ” โยธา เล่าไปพร้อมทำท่าทางประกอบให้เห็นภาพมากขึ้น
ข้ามฟากมาที่ “ภูรี ภูมิฐานนท์” หรือ “จ๊อบ” ช่างภาพประจำรายการ เล่าว่า เสน่ห์อย่างหนึ่งของรายการคือความเป็นธรรมชาติ ในมุมมองของช่างภาพต้องคิดว่าจะเล่าเรื่องอย่างไร เวลาพี่ขวัญไปที่ไหน ซื้ออะไร จะต้องหันกล้องไปตามตลอดเวลา จะเห็นว่าในรายการมีช่วงที่เเฟนคลับเข้ามาขอถ่ายภาพคู่ขณะถ่ายทำ เราก็ให้ถ่าย เเละเก็บภาพเบื้องหลังมาใส่ในรายการด้วย เพื่อให้คนดูรู้สึกว่าเขาเข้าถึงตัวพี่ขวัญได้
Celeb Blog ต้องเป็นผู้นำเทรนด์ ทำให้คนดูเชื่อในรายการให้ได้
เมื่อถึงจุดหนึ่ง ความคุ้นเคยเเละคุ้นชินของทั้งทีมงานเเละสู่ขวัญ นำมาซึ่งการเปิดหน้ากล้องมากขึ้นของทีมงาน Celeb Blog
พี่เอ๋ เล่าว่า ทุกอย่างอยู่ที่ความไม่ตั้งใจ ทีมงานไม่ได้ตั้งใจมาอยู่หน้ากล้อง เเต่เมื่อถ่ายทำไป พี่ขวัญเริ่มสนุกกับการดึงทีมงานเข้ามามีส่วนร่วมในรายการมากขึ้น จะเริ่มเห็นว่าทุกคนมีส่วนร่วม กลายเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่ได้มา เเละมีคนติดตามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ด้าน “ภนิฐนารถ สมาหนับ” หรือ “ตาล” ครีเอทีฟประจำรายการ เล่าต่อไปว่า ประเด็นหลักๆ ของรายการ มาจากไลฟ์สไตล์ส่วนตัวของพี่ขวัญ ไม่โกหกคนดู ทำให้รายการมีความสนุก เพลิดเพลิน เมื่อคนดูติดรายการเเล้ว อีกส่วนสำคัญคือต้องทำให้ Celeb Blog เป็นผู้นำเทรนด์ ต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้คนดูเชื่อเรา
“เมื่อเราทำเกี่ยวกับบิวตี้ พี่ขวัญสามารถพาไปตามเคาน์เตอร์เเบรนด์ต่างๆ ซึ่งบางเเบรนด์ระดับไฮเอนด์ เเต่พี่ขวัญก็สามารถเล่ารายละเอียด จากประสบการณ์ใช้จริงผ่านรายการได้อย่างไม่ติดขัด ทำให้คนดูเชื่อว่าสินค้านี้ดีจริง อย่างบางเเบรนด์ที่พี่ขวัญพูดว่าลิปสติกยี่ห้อนี้ดี พอเราไปตามเคาน์เตอร์ พนักงานจะบอกว่า มีคนมาถามซื้อลิปสีพี่ขวัญเยอะมาก” ภนิฐนารถ เล่าไปพร้อมหัวเราะ
ที่มาของคำว่า “ของมันต้องมี”
กระเเสตอบรับดี ติดเเฮชเเท็กกันบนโลกออนไลน์สำหรับประโยคที่ว่า #ของมันต้องมี “โยธา” เล่าว่า ประโยคนี้เริ่มจากการที่พี่ขวัญชอบช้อปปิ้ง เเล้วจะหลุดคำพูดที่ไม่รู้ตัวออกมา เป็นที่มาของประโยคนี้ อีกทั้งตนเองยังเอาคำนี้เข้าไปใส่ไว้ในรายการ เหมือนการย้ำคนดูให้เกิดการจำ เเละดูเหมือนว่าประโยคนี้จะโดนใจใครหลายๆ คน
โดยข้อความหลายข้อความที่เหมือนเป็นการโต้ตอบพี่ขวัญในคลิปนั้น มีบางส่วนเลือกมาจากข้อความที่คนดูพิมพ์เข้ามา ว่าอยากตอบพี่ขวัญเเบบนี้ อยากคุยกับพี่ขวัญเเบบนี้ เราก็เอาใส่เข้าไปในคลิป พอเผยเเพร่ออกไปคนดูก็ชอบ เพราะเหมือนเขาได้พูดคุยกับพี่ขวัญแบบใกล้ชิด
กลุ่มเป้าหมายเกินคาด
กลุ่มเป้าหมายของรายการนั้น ในส่วนของคนดู ทีมงานสู่ขวัญ เล่าว่า ในช่วงเเรกคาดว่าคนดูจะเป็นกลุ่มวัยทำงาน เเต่พอรายการเผยเเพร่ออกไป เด็กนักเรียน หรือหนุ่มๆ ก็เป็นเเฟนคลับ เคยมีกรณีมีคนส่งข้อความมาว่า ได้ไอเดียการซื้อของให้เเฟนสาวจากการดูรายการ นับเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เกินเป้าหมายไปด้วยซ้ำ
ส่วนเป้าหมายที่เชื่อมกับนิตยสารเเพรวนั้น อยากให้คนหันมาเสพโซเชียล อยากทำสื่อเเบบใหม่ เน้นไปในการทำคอนเทนต์ ไม่ขายของ เเต่ก็สามารถสร้างความสนุกได้
Celeb Blog ยังคงเป็น Celeb Blog
เมื่อพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป การก้าวเข้าสู่โลกของโซเชียลจะเป็นการจับจุดที่ถูกต้อง เพราะบทบาทของหนังสือพิมพ์ นิตยสาร ถูกลดบทบาทอย่างมาก การผลิตเนื้อหาผ่านช่องทางออนไลน์ลงทุนต่ำ เเละยังเข้าถึงกลุ่มคนได้มากขึ้น
รายการ Celeb Blog เริ่มคุ้นหูคนไทยมากขึ้น หลายเสียงอาจต้องหันหลับมามองว่าทิศทางต่อไปของรายการจะต้องเป็นไปตามสปอนเซอร์หรือเปล่านั้น
“พี่ตาล” ครีเอทีฟประจำรายการ เล่าว่า ช่วงหลังเริ่มมีสปอนเซอร์เข้ามาจริง เเต่เขาไม่มีสิทธิ์เข้ามายุ่งว่าตอนต่อไปต้องไปทำอะไร ต้องถือสินค้าของเขานานเเค่ไหน พวกเราทำงานกันเหมือนเดิม เป็นไปตามที่คุยกับพี่ขวัญว่าอยากพาไปที่ไหน เมื่อถ่ายเสร็จ ในส่วนนั้นจะเป็นหน้าที่ของฝ่ายขาย ที่จะเอาคอนเซ็ปต์ของเเต่ละตอนไปให้ลูกค้าดูว่าเราทำแบบนี้ เขาไม่มีสิทธิ์ในการเข้ามาเเก้ไข
“คนดูสบายใจได้ว่ารายการจะยังคงเป็นธรรมชาติเหมือนอย่างเริ่มต้นตลอดไป”
เเละเเม้ว่าอนาคต จะมีการเเข่งขันในด้านดิจิทัลมากขึ้น ทางทีมงานก็ยังคงพัฒนารายการต่อไปเรื่อยๆเรียกได้ว่ายุคของ Media Disruption เป็นยุคที่การสื่อสารเปลี่ยนเเปลงไปแล้วจริงๆ
จากใจสู่ขวัญถึงเเฟนๆ Celeb Blog
“สู่ขวัญ บูลกุล” ฝากถึงแฟนๆ Celeb Blog ว่า รายการมีไว้เพื่อให้ดูอย่างสนุก สิ่งที่ต้องการนำเสนอจริงๆ คือ ความสนุกสนานเกี่ยวกับการเดินดูของ ส่วนตัวได้บอกหลายคนไปเเล้วว่าการช้อปปิ้งมันไม่ใช่การได้มาซึ่งของสิ่งนั้น เเต่จริงๆ เเล้วการเดินดูว่ามันมีข้าวของหลากหลายอย่างไร มีสินค้าพัฒนา ไอเดีย เก๋อย่างไร นั่นคือความสุข
“โลกนี้มีคนจำนวนนิดเดียวที่สามารถซื้อของทุกสิ่งได้ พี่ขวัญไม่ใช่หนึ่งในนั้น มันไม่เเปลกอะไรที่อยากได้ของสักชิ้น เเล้วไม่ซื้อดีกว่า”
ส่วนที่มีคนบอกว่า “ตั้งแต่ดูรายการมาเหมือนพี่ขวัญพาไปช้อปปิ้งนั้น” ตรงนี้มองว่าก็ตอบโจทย์ เวลามาช้อปปิ้งเราไม่ได้ซื้อทุกอย่างที่เห็น เราอาจจะมองว่าอันนี้สวย อันนี้น่ารัก อันนี้อยากได้ แต่ของบางอย่างมันเเพงไม่เหมาะกับเรา ซื้อไปคงไม่ได้ใช้
“Celeb blog คือการพาเดินดู ว่ามีของอะไรน่ารัก แต่ไม่จำเป็นต้องซื้อเสมอไป ใครที่ดูเเล้วเพลิน เราก็อยากให้ได้เเค่นั้น เราเเค่อยากให้คนดูเพลิน มีความสุข รอยยิ้ม เสียงหัวเราะก่อนนอนเเค่นั้น”
สำหรับเเฟนๆ Celeb Blog อย่างที่ตนพูดมาตลอด เเง่คิดในการช้อปปิ้งคือ ถ้ายังไม่มีรายได้ ไม่มีฐานะ หรืออยู่ในช่วงเริ่มต้นสร้างฐานะ ไม่สนับสนุนให้ฟุ่มเฟือย การที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นของชีวิต ทุกคนสามารถช้อปแบบที่ตนช้อปได้ เเต่วันนี้ขอให้ตั้งใจเรียน คนที่ทำงานก็ขอให้ทุ่มเทให้มากที่สุด อดทน ขยัน
“ช้อปปิ้งตอนนี้มันไม่เหมือนช้อปปิ้งตอนที่เรามีทุกอย่างเเล้ว วันนี้เราเพิ่งอายุ 20 ต้นๆ เราจะมีทุกอย่างไม่ได้ถ้าไม่รู้จักอดออม ใครที่ดูคลิปแล้วมันส์ อยากช้อปแบบพี่ขวัญ อยากให้ขยัน อดทน เก็บออม วันหนึ่งในอนาคตข้างหน้า รับรองช้อปสนุกเเน่นอน”
นับเป็นอีกหนึ่งรายการที่สร้างสีสรรค์หน้าม่านได้อย่างสนุกสนาน ความโดดเด่นเเละเป็นธรรมชาติของพิธีกรนำมาซึ่งความชื่นชมเเละปฏิบัติตามของคนดู ลงล็อกกันดีกับทีมงานเพียงไม่กี่คนที่สามารถผลิตรายการคุณภาพระดับนี้ ช่วงเวลาของรายการที่สั้นบ้าง ยาวบ้างกลับไม่ใช่อุปสรรคของยอดวิว
มาถึงตรงนี้ก็ต้องชูนิ้วเเละยอมรับว่า Celeb Blog เขาเน้นขายไอเดีย คอนเทนต์ มากกว่าการทำอะไรตามกระเเส
ที่มาๆ เเล้วก็หายไป