เกมคุณภาพ 120 นาที แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดบ้านชนะ ลิเวอร์พูล 4-3 ประตู แบบสุดมันส์ ลิ่วรอบรองชนะเลิศศึกเอฟเอ คัพ
วันที่ 17 มีนาคม 2567 ศึกฟุตบอลเอฟเอ คัพ อังกฤษ รอบ 8 ทีมสุดท้าย “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดสนามโอลด์ แทรฟเฟิร์ด รับการมาเยือนของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล
- ทำฟันประกันสังคม ไม่ต้องสำรองจ่าย เดือน มี.ค. 67 ยอด 169 ล้านบาท
- รู้ไหม ? 31 มณฑลจีน ชอบสินค้าอะไรของไทย
- KBANK ปรับโครงสร้างใหญ่ ลดจำนวนบอร์ด ตั้ง 4 เอ็มดีเป็น “ผู้จัดการใหญ่” มีผล 1 พ.ค.67
รายชื่อ 11 ตัวจริง
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : อังเดร โอนาน่า (GK), ดิโอโก้ ดาโลต์, ราฟาแอล วาราน, วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ, อารอน วาน บิสซาก้า, สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์, ค็อบบี้ ไมนู, บรูโน่ แฟร์นันด์ส, มาร์คัส แรชฟอร์ด, อเลฮานโดร การ์นาโช่, ราสมุส ฮอยลุนด์
ลิเวอร์พูล : ควีวิน เคลเลเฮอร์ (GK), โจ โกเมซ, เฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ค, จาร์เรลล์ ควอนซาห์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, วาตารุ เอ็นโด, โดมินิค โซบอสซ์ไล, อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์, โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ดาร์วิน นูนเญซ, หลุยส์ ดิอาซ
ครึ่งแรกสุดมันส์
เริ่มเกมมาได้ไม่ถึง 2 นาที แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ทักทายก่อนด้วยการต่อบอลกันมาและได้จบ เป็นอารอน วาน บิสซาก้า ได้ยิงแต่ไม่ถนัดนัก แทนที่จะเป็นสก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ ในตำแหน่งที่ดีกว่า บอลเลยไปเข้ามือเคลเลเฮอร์ อย่างน่าเสียดาย
จากนั้นไม่นาน นาทีที่ 4 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้โอกาสอีกครั้ง จากมาร์คัส แรชฟอร์ด ที่ได้ยิงจากทางซ้าย แต่เคลเลเฮอร์ ยังพุ่งเซฟไว้ได้
นาทีที่ 8 ลิเวอร์พูลมีโอกาสขึ้นนำเช่นกัน ดาร์วิน นูนเญซ เปิดจากทางขวาให้โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ได้ยิงแบบไม่จับ แต่บอลพุ่งผ่านมือโอนาน่าและเฉียดเสาไปอย่างน่าเสียดาย
จากนั้น นาทีที่ 10 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก็ได้ประตู จากจังหวะที่การ์นาโช่ ได้ยิงจากทางซ้าย แม้เคลเลเฮอร์จะปัดได้ แต่บอลไปเข้าทางสก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ ได้ซ้ำจ่อ ๆ ในระยะ 3 หลา พาเจ้าบ้านออกนำก่อน 1-0 ประตู
นาทีที่ 30 ลิเวอร์พูล มีโอกาสอีกครั้ง จากจังหวะบอลชุลมุนหน้าปากประตู และเป็นโดมินิค โซบอสซ์ไล ได้ยิง แต่โอนาน่า ยังล้มตัวเซฟไว้ได้ เกมผ่าน 30 นาทีแรก ถือว่าสูสีและมีโอกาสยิงประตูกันทั้งคู่
นาทีที่ 35 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พลาดโอกาสทองขึ้นนำอย่างน่าเสียดาย ค็อบบี้ ไมนู เลี้ยงตะลุยเข้าไป ก่อนที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด จะจ่ายต่อให้ สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ ได้ยิงจ่อ ๆ แต่ไปตรงตัว เคลเลเฮอร์
จากนั้น นาทีที่ 36 จากจังหวะสวนกลับ ลิเวอร์พูลมีโอกาสได้ประตูเช่นกัน จากจังหวะที่ หลุยส์ ดิอาซ ได้ยิงมุมเเคบ แต่โอนาน่ายังปัดไว้ได้
ต่อมา นาทีที่ 37 วาตารุ เอ็นโด ของลิเวอร์พูล ส่งบอลเข้าประตูไปแล้ว แต่ไม่ได้ประตู เนื่องจาก โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ล้ำหน้าจากจังหวะก่อนหน้า
ช่วงท้ายครึ่งเวลาแรก ลิเวอร์พูล กลับมาเหนือกว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอย่างชัดเจน ทั้งเปอร์เซ็นครองบอล และพลางหาโอกาสทำประตูอยู่บ่อยครั้ง
จนกระทั่ง ในนาทีที่ 44 ลิเวอร์พูล ก็มาได้ประตูตีเสมอ 1-1 จากจังหวะทำเกมขึ้นมาของกองหลังอย่าง จาร์เรลล์ ควอนซาห์ ที่เลี้ยงแหวกก่อนจะจ่ายให้ ดาร์วิน นูนเญซ และเป็นอเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ที่ได้ยิงไปแฉลบค็อบบี้ ไมนู ทำให้บอลเข้าประตูไป
ยังไม่จบเพียงเท่านั้น ลิเวอร์พูลได้มาประตูแซงขึ้นนำ 2-1 แบบทันควัน จากจังหวะที่แมนฯ ยูไนเต็ด เสียบอลในแดนตัวเอง ก่อนที่ดาร์วิน นูนเญซ จะได้ยิง แม้โอนาน่าจะปัดได้ แต่โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ก็ซ้ำจ่อ ๆ เข้าไปในนาทีที่ 45+2 และจบครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้ ลิเวอร์พูลพลิกแซงขึ้นนำ
ครึ่งหลัง แมนฯ ยูฯ โกงตาย
เริ่มต้นครึ่งหลังมาได้ไม่นาน แมนยูไนเต็ดมีจังหวะต้องหวาดเสียว จากดาร์วิน นูนเญซ ที่ได้ปาดจากริมเส้น บอลเกือบเข้าทางเสาแรก ยังดีที่โอนาน่ายังล้มตัวปัดไว้ได้ทัน
นาทีที่ 53 แมเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีโอกาสได้ประตู จากจังหวะที่ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ปาดบอลให้ ราสมุส ฮอยลุนด์ แต่เข้าทำไม่ทัน บอลผ่านหน้าปากประตูไปอย่างน่าเสียดาย
ไม่กี่นาทีจากนั้น ลิเวอร์พูลก็มีโอกาสบวกประตูเพิ่มเช่นกัน เป็นดาร์วิน นูนเญซ ที่ได้ยิง แต่บอลหลุดกรอบไป และนาทีที่ 56 โดมินิค โซบอสซ์ไล ได้ซัดไกล แต่โอนาน่ายังพุ่งเซฟไว้ได้
นาทีที่ 63 เป็นโอกาสของลิเวอร์พูลอีกครั้ง ดาร์วิน นูนเญซ ได้กดมุมเเคบเน้น ๆ จากด้านขวา แต่โอนาน่ายังเซฟไว้ได้
เกมผ่านนาทีที่ 65 เป็นลิเวอร์พูลที่เริ่มเหนือกว่าอย่างชัดเจน และครองบอลบุกได้มากกว่า ส่วนผู้เล่นยูไนเต็ดก็ยังเอาบอลกลับมาไม่ได้
เกมทำท่าจะจบ แต่นาทีที่ 87 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาได้ประตูตีเสมอจากตัวสำรองอย่าง แอนโทนี่ ที่หมุนตัวก่อนยิงบอลเสียบมุมเข้าประตูไป พาเจ้าบ้านกลับคืนสู่เกมที่ 2-2 ประตู
นาทีที่ 90+4 แมนฯ ยูไนเต็ด พลาดประตูตัดสินเกม จากจังหวะที่มาร์คัส แรชฟอร์ด ได้หลุดและยิงเน้น ๆ แต่บอลหลุดเสาไกลออกไปอย่างน่าเสียดาย ทำให้จบเวลา 90 นาทีเกมเสมอ 2-2 ประตู
ต่อเวลา
ช่วงต่อเวลาพิเศษในครึ่งแรก ลิเวอร์พูลที่ไม่ได้บุกเลยกลับเป็นฝ่ายได้ประตูออกนำ จากจังหวะที่ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ได้ยิงและบอลไปแฉลบ คริสเตียน อีริคเซน เปลี่ยนทางเข้าประตูไป หงส์แดงเป็นฝ่ายขึ้นนำอีกครั้งที่ 3-2 ประตู ในนาที 105
แต่เเมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังไม่ตาย ดาร์วิน นูนเญซ เสียบอลในเเดนตัวเอง ก่อนที่สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ จะจ่ายบอลให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด ได้ยิงในนาทีที่ 112 ส่งบอลเสียบมุมเข้าประตูไป ปีศาจแดงกลับคืนสู่เกม 3-3 ประตู
นาทีที่ 116 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเกือบได้ประตูขึ้นนำ จากจังหวะที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด จ่ายให้ สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ ได้ยิง แต่บอลหลุดเสาไปอย่างน่าเสียดาย
เกมทำท่าจะจบ แต่ในนาทีสุดท้าย ที่ลิเวอร์พูล ได้ลุ้นเตะมุม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สวนกลับ เป็นการ์นาโช่ ได้ลากขึ้นมาและจ่ายให้ อาหมัด ดิยัลโล่ ได้ยิง บอลไหลเสียบมุมเข้าประตูไปในนาทีที่ 120+1 ปีศาจแดงนำ 4-3
จบเกมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดบ้านชนะลิเวอร์พพูล 4-3 ประตูแบบสุดมันส์ ลิ่วรอบรองชนะเลิศเอฟ เอ คัพ
