กรมการท่องเที่ยว มอบนายทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวฯ สาขากรุงเทพฯ ออกคำสั่งให้บริษัททัวร์รายใหญ่เบี้ยวเอเย่นต์รายย่อย ซื้อทัวร์แล้วไม่ได้เดินทาง เข้าชี้แจงข้อเท็จจริง 28 ก.พ. 66 เผยหากผิดจริงมีโทษสูงสุดถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาต ปรับไม่เกิน 5 แสนบาท
วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 จากกรณีผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวรายย่อยจำนวนกว่า 10 ราย ได้เข้ายื่นเรื่องร้องเรียนต่อกรมการท่องเที่ยว เพื่อให้ดำเนินการทางกฎหมายกับบริษัททัวร์รายใหญ่รายหนึ่ง ซึ่งมีพฤติกรรมไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงกับบริษัททัวร์รายย่อย สร้างความเสียหายกว่า 14 ล้านบาท
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช รองอธิบดีกรมการท่องเที่ยว ในฐานะนายทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์กลาง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวรายย่อย (Retail) ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนและประชุมหารือกับกรมการท่องเที่ยว เพื่อให้ดำเนินการทางกฎหมายกับบริษัททัวร์รายใหญ่รายหนึ่ง (Wholesale) ซึ่งมีพฤติกรรมไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงกับบริษัททัวร์รายย่อย ส่งผลให้บริษัททัวร์รายย่อยต้องรับผิดชอบจัดทัวร์ขึ้นใหม่ หรือคืนค่าทัวร์ให้แก่ลูกค้า สร้างความเสียหายมูลค่ากว่า 14 ล้านบาท
โดยมอบหมายให้นายทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์สาขากรุงเทพมหานคร ออกคำสั่งให้บริษัททัวร์รายใหญ่ดังกล่าวเข้าพบในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง หากพบว่ามีการกระทำใดที่ผิดตามพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม หรือไม่มาพบตามคำสั่ง จะมีบทลงโทษสูงสุดถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว
และหากพบว่ามีการกระทำใดอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวตามมาตรา 24 กรมการท่องเที่ยวจะดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษเป็นคดีอาญา ซึ่งมีโทษปรับไม่เกิน 500,000 บาท
ทั้งนี้ กรมการท่องเที่ยวขอเรียนว่า พระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ฯ ฉบับนี้ มีเจตนารมณ์เพื่อคุ้มครองนักท่องเที่ยวจากการเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวเป็นสำคัญ อย่างไรก็ดี จากลักษณะปัญหานี้ กรมการท่องเที่ยวจะหาแนวทางป้องกัน ซึ่งอาจจำเป็นต้องพิจารณาปรับปรุงหรือมีมาตรการทางกฎหมายต่อไป