“ฟรีวีซ่า” ยาแรง ดันนักท่องเที่ยวจีนแตะ 5 ล้านคน

ฟรีวีซ่าจีน
ฟรีวีซ่าจีน

เป็นที่ถูกใจและได้รับเสียงตอบรับจากภาคเอกชนท่องเที่ยวอย่างมาก สำหรับมาตรการกระตุ้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวด้วยการเปิด “ฟรีวีซ่า” เป็นการชั่วคราว 5 เดือน ตั้งแต่ 25 กันยายน 2566-สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2567 สำหรับตลาดนักท่องเที่ยวจีนและคาซัคสถาน ของรัฐบาลนายกฯ เศรษฐา 1

เรียกว่าเป็น “ยาแรง” ที่สุด แถมยังเป็นมาตรการที่ยังไม่เคยทำมาก่อน ที่สำคัญยังครอบคลุมไฮซีซั่นตลาดจีนถึง 2 ช่วงหลักคือ ช่วงเทศกาลวันหยุดยาววันชาติจีน (golden week) ในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2566 และเทศกาลตรุษจีนในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2567

คาดจีนเข้า 7 แสนคน/เดือน

“สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ย้ำว่ามาตรการฟรีวีซ่าที่ประกาศไปแล้ว เป็นนโยบายกระตุ้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแบบเร่งด่วน โดยตั้งเป้าว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ (ตุลาคม-ธันวาคม 2566) จะมีนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 7 แสนคนต่อเดือน และทำให้ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้รวม 28 ล้านคน

ขณะเดียวกัน ก็จะมุ่งเน้นทำตลาดภายในประเทศควบคู่กันไปด้วย โดยมีเป้ารายได้รวมที่ 3.3 ล้านล้านบาท ในปี 2567 และมีรายได้จากตลาดต่างประเทศเพิ่มจาก 1.9 ล้านล้านบาท ในปี 2562 เป็น 3 ล้านล้านบาท และมีรายได้รวมที่ 4 ล้านล้านบาทให้ได้เร็วที่สุด

ส่วนเรื่องความปลอดภัย หรือความเป็นห่วงเรื่องทุนจีนสีเทานั้น เป็นประเด็นที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดูแลและบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังต่อไป

Advertisment

โยนโจทย์ดันเป้าจีน 5 ล้านคน

แหล่งข่าวจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ให้ข้อมูลว่า มาตรการฟรีวีซ่ามาพร้อมกับเป้าหมายทำตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนปี 2566 ให้ได้ถึง 5 ล้านคน และมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 28 ล้านคน และเพิ่มขึ้นเป็น 40 ล้านคนในปี 2567

และให้ข้อมูลว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ที่ผ่านมาคนจีนยังเดินทางออกนอกประเทศในอัตราที่ต่ำมาจาก 4 เหตุผลหลักคือ 1.รัฐบาลจีนสนับสนุนและส่งเสริมให้ประชาชนท่องเที่ยวภายในประเทศ 2.ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของจีน 3.จำนวนเที่ยวบินที่ยังมีค่อนข้างจำกัด และ 4.ภาพลักษณ์เชิงลบของประเทศในสื่อออนไลน์ของจีน

ระดมอินฟลูเอนเซอร์ฟื้นเชื่อมั่น

ดังนั้น ททท. ในฐานะหน่วยงานด้านการส่งเสริมการตลาด จึงต้องเร่งเดินแผนเชิงรุกอย่างหนักและรวดเร็ว เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่มีภารกิจหลักในด้านการทำการตลาด

โดยเบื้องต้นจะดำเนินการใน 2 แกนหลักคือ 1.โหมประชาสัมพันธ์อย่างหนักเพื่อสร้างภาพลักษณ์และเรียกคืนความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวจีนรู้สึกว่าเดินทางมาเที่ยวเมืองไทยแล้วมีความปลอดภัย โดยใช้อินฟลูเอนเซอร์จีนมาช่วยสื่อสาร

Advertisment

“ที่ผ่านมาเราจัดแฟมทริปเชิญอินฟลูเอนเซอร์จีนมาแล้วครั้งหนึ่ง รอบนั้นเราใช้ 50 คน แต่รอบนี้เราอาจเพิ่มจำนวนให้มากขึ้น หรืออาจเป็น 100 คน เพื่อให้สามารถสื่อสารเข้าถึงชาวจีนให้ได้ไม่ต่ำกว่า 10% หรือไม่ต่ำกว่า 100 ล้านคน เนื่องจากจีนมีประชากรรวมกว่า 1,000 ล้านคน”

รวมถึงการเชิญรายการโทรทัศน์ที่ได้รับความนิยมเข้ามาถ่ายทำเรื่องของความพร้อมในการรองรับ รวมถึงระบบการดูแลนักท่องเที่ยวจีนของประเทศไทยด้วย

ผนึกพันธมิตรอัดโปรโมชั่น
และ 2.ร่วมกับพันธมิตรทำโปรโมชั่น ทั้งพันธมิตรที่เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ของจีน และสายการบิน เพื่อนำเสนอสินค้าท่องเที่ยวในราคาที่คุ้มค่า น่าเดินทางมากขึ้น อาทิ ร่วมกับสายการบินโปรโมตตั๋วโดยสารราคาพิเศษ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม คาดหวังว่ามาตรการฟรีวีซ่าที่มาร่วมกับการทำโปรโมชั่นจะช่วยกระตุ้นนักเดินทางในกลุ่มประชุมสัมมนา หรือกลุ่มท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล (incentive travel) และกลุ่มกรุ๊ปทัวร์เดินทางเข้ามาเพิ่มมากขึ้น

“เป้าการทำงานมี 2 ทางคือ เป้าในด้านจำนวนและเป้าในด้านรายได้ สำหรับปีนี้ส่วนตัวยังเชื่อมั่นว่า แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะไม่ถึงเป้า 5 ล้านคน แต่เชื่อว่าจะบรรลุเป้าหมายในด้านรายได้”

โดยปัจจุบันการใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวจีนขยับสูงขึ้นเป็น 51,000-52,000 บาทต่อคนต่อทริป จากเฉลี่ยประมาณ 47,000 บาทต่อคนต่อทริปเมื่อปี 2562”

ขณะที่ “ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์” ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า สำหรับปี 2566 นี้ ททท.ยังคงตั้งเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวจีนไว้ไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน และสร้างรายได้ประมาณ 4 แสนล้านบาท