สำนักงานการบินพลเรือน เช็กความพร้อมอุตสาหกรรมการบินสนามบิอู่ตะเภา พร้อมเปิดเวทีแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นหาแนวทางในการพัฒนา ยกระดับอู่ตะเภาสู่สนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์หลักแห่งที่ 3 และศูนย์กลางอุตสาหกรรมท่องเที่ยว การขนส่งทางอากาศ ตอบโจทย์ aviation นายกฯ เศรษฐา
วันที่ 30 มีนาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (29 มีนาคม 2567) สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) โดยนายสุทธิพงษ์ คงพูล ผู้อำนวยการ ได้เป็นประธานเปิดกิจกรรมสื่อมวลชนสัญจร “เช็กความพร้อมอุตสาหกรรมการบิน รองรับการบินใหม่ในอนาคต” และร่วมแถลงข่าวการเตรียมแผนพัฒนาโครงการสนามบินอู่ตะเภา
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
รวมถึงความคืบหน้าการก่อสร้างรันเวย์ การเตรียมความพร้อมสำหรับการเป็นฮับการบิน หรือ aviation hub นโยบายนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งเปิดเวทีแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเพื่อหาแนวทางในการพัฒนา และยกระดับท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภาให้เป็น “สนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์หลักแห่งที่ 3” และเป็น “ศูนย์กลางอุตสาหกรรมท่องเที่ยว การขนส่งทางอากาศ”
นายสุทธิพงษ์ คงพูล ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ CAAT เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีสนามบินสาธารณะจำนวน 39 แห่ง ในจำนวนดังกล่าวมีสนามบินที่เปิดให้บริการระหว่างประเทศจำนวน 10 แห่ง ซึ่ง กพท. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแล ควบคุม ตรวจสอบ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานสนามบินสาธารณะของไทย
จึงให้ความสำคัญกับการออกใบรับรองการดำเนินงานสนามบินสาธารณะสำหรับสนามบินที่ให้บริการระหว่างประเทศ (International airport) เป็นลำดับแรก ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับการตรวจสอบจากองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization: ICAO)
โดยในปัจจุบันมีสนามบินที่ถือใบรับรองฯ จำนวน 9 แห่ง โดย 8 แห่งเป็นสนามบินที่เปิดให้บริการระหว่างประเทศสำหรับท่าอากาศยานนานาชาติ อู่ตะเภา-ระยอง-พัทยา เป็นท่าอากาศยานขนาดใหญ่ ความยาวทางวิ่ง 3,505 เมตร สามารถรองรับอากาศยานขนาดใหญ่ได้ทั้ง B777 , B787 , A330 รวมถึง Antonov โดยท่าอากาศยานได้เริ่มเข้าสู่กระบวนการออกใบรับรองการดำเนินงานสนามบินสาธารณะ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2563 และดำเนินการตามกระบวนการจนได้รับใบรับรองการดำเนินงานสนามบินสาธารณะเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2565
ปัจจุบันท่าอากาศยานนานาชาติ อู่ตะเภา-ระยอง-พัทยา ได้ให้บริการทั้งการบินภายในประเทศและต่างประเทศ ตลอด 24 ชั่วโมง และอยู่ระหว่างการพัฒนาภายใต้โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการโครงสร้างพื้นฐานหลักสำคัญของ EEC
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา-ระยอง-พัทยา เป็นสนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์หลักแห่งที่ 3 ที่เชื่อมต่อกับท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ด้วยรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งจะส่งผลให้ทั้ง 3 ท่าอากาศยานสามารถรองรับผู้โดยสารได้มากถึง 200 ล้านคนต่อปีนายสุทธิพงษ์กล่าวว่า เมื่อสนามบินได้รับใบรับรองการดำเนินงานสนามบินสาธารณะแล้ว กพท. จะมีการตรวจติดตามมาตรฐานสนามบินเป็นระยะ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสนามบินยังคงได้มาตรฐานในการดำเนินงานสนามบินสาธารณะ และปฏิบัติตามเงื่อนไขและข้อจำกัดเกี่ยวกับการดำเนินงานประกอบใบรับรองการดำเนินงานสนามบินสาธารณะนั้นอย่างต่อเนื่อง
โดยหลังจากท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา-ระยอง-พัทยา ได้รับใบรับรองฯ เมื่อปี 2565 กพท. ก็ได้ดำเนินการตรวจติดตามมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย ติดตามมาตรฐาน ด้านแผนฉุกเฉินและดับเพลิงกู้ภัย ด้านการดำเนินงานในเขตการบิน และการจัดการด้านนิรภัยของสนามบิน เมื่อเดือนสิงหาคม 2565 และ ติดตามมาตรฐาน ด้านแผนฉุกเฉินและดับเพลิงกู้ภัย ด้านกายภาพสนามบิน และด้านเครื่องอำนวยความสะดวกในการเดินอากาศ ประเภททัศนวิสัยเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2566
นายสุทธิพงษ์กล่าวต่อไปอีกว่า สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย พร้อมเดินหน้าส่งเสริมพัฒนาอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทยให้มีศักยภาพและเติบโตอย่างยั่งยืน ตลอดจนกำกับดูแล ควบคุม ตรวจสอบ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานของท่าอากาศยานให้คงไว้ซึ่งมาตรฐานสากล และตอบสนองความต้องการเดินทางของประชาชนได้อย่างเพียงพอ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับนานาประเทศ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน ตามนโยบายรัฐบาล