นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ ลงทุน “หมื่นล้าน” สูงสุดรอบ 54 ปี

สัมภาษณ์

ปิดตัวอย่างเป็นทางการไปแล้วตั้งแต่ 18 กุมภาพันธ์ 2565 สำหรับโรงแรมนารายณ์ โรงแรมระดับตำนาน ขนาด 500 ห้องพัก ที่อยู่คู่กับถนนสีลม กรุงเทพฯ มานานถึง 54 ปี

โดยโรงแรมแห่งนี้ได้ให้บริการห้องพักมาทั้งหมดกว่า 7.5 ล้านห้อง มีผู้เข้ามาพักรวมกว่า 15 ล้านคน มีแขกเข้ามารับประทานอาหารมากกว่า 30 ล้านคน

“ประชาชาติธุรกิจ” ได้ร่วมสัมภาษณ์ “นที นิธิวาสิน” กรรมการบริหาร บริษัท นารายณ์ โฮเทล จำกัด ในกลุ่ม “นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป” ผู้บริหารเจเนอเรชั่นที่ 3 ของธุรกิจ ถึงมุมมองต่ออุตสาหกรรมโรงแรมและภาคการท่องเที่ยวของไทย รวมถึงปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจปิดโรงแรมนารายณ์ในปีนี้ ไว้ดังนี้

“นที” บอกว่า โรงแรมแห่งนี้อยู่ในแผนปิดเพื่อพัฒนาใหม่มาตั้งแต่ปี 2560 โดยมองว่าทุกทำเลหลัก ๆ ของกรุงเทพฯ ทำการพัฒนาและปรับปรุงมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นสุขุมวิท เจริญกรุง สีลม ฯลฯ บวกกับเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โรงแรมได้รับผลกระทบ และน่าจะอีกหลายปีกว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะฟื้นตัว

และโรงแรมนารายณ์เองได้เปิดให้บริการมากว่า 50 ปี ก็น่าจะถึงเวลาที่ต้องทุบทิ้งและลงทุนใหม่ เพราะหลาย ๆ สิ่งไม่สามารถซ่อมแซมได้

ที่สำคัญ ระยะหลัง ๆ นี้มีโรงแรมแบรนด์ใหม่ ๆ เข้ามาสู่ตลาดมากขึ้น ซึ่งสะท้อนว่าทำเลสีลมยังมีคุณค่าทางเศรษฐกิจสูง

“นที” บอกด้วยว่า สำหรับโครงการใหม่นี้ใช้งบฯลงทุนราว 8,000-10,000 ล้านบาท ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 4 ปี หรือกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งประมาณปี 2569 โดยแผนการปรับปรุงที่วางไว้คือ จะมุ่งสู่การพัฒนาพื้นที่ทั้งหมด 6 ไร่เศษ ภายใต้แนวคิด Be Part of Everyone Community เป็นพื้นที่สำหรับคนในหลาย ๆ เจเนอเรชั่นเข้ามาใช้บริการ รวมถึงพื้นที่สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีความพร้อมสำหรับการใช้จ่ายเพื่อสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ

หรือเป็น “An Oasis” แลนด์มาร์กแห่งใหม่ เพื่อตอบโจทย์วิถีคนสีลม

ประกอบด้วยโรงแรม 2 แห่ง ได้แก่ 1.โรงแรมนารายณ์ โดยจะปรับโพซิชันนิ่งให้เป็นลักเซอรี่ขึ้น (ระดับ 4-5 ดาว) ขนาด200 ห้อง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะบริหารเอง หรือจับมือเชนอินเตอร์ให้เข้ามาช่วยบริหาร

และ 2.โรงแรมแบรนด์ใหม่ ระดับลักเซอรี่ 6 ดาว ขนาด 100-150 ห้อง ให้บริการแบบฟูลเซอร์วิส สามารถแข่งขันกับโรงแรมลักเซอรี่อื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียงได้ และสามารถร่วมมือกับโรงแรมใกล้เคียงในการดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในเดสติเนชั่นสีลม เจริญกรุง ได้ด้วยเช่นกัน

โดยทางเชื่อมระหว่าง 2 โรงแรมจะถูกคั่นกลางด้วยคลอง และพื้นที่ร้านค้า ร้านอาหารที่มีชื่อเสียงและมีตำนานรวมถึงร้านสตรีตฟู้ดในย่านสีลมและพื้นที่สวนมีขนาดใหญ่ 7,000 ตารางเมตร สำหรับให้ทุกคนเข้ามาพักผ่อน หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อรักษาเอกลักษณ์และสะท้อนวิถีชีวิตของคนในย่านสีลมดั้งเดิม

“ตัวโรงแรมเก่าเราจะเริ่มทุบทิ้งในช่วงกลางปีนี้ โดยจะเก็บบางส่วนที่เป็นเอกลักษณ์ของโรงแรมแห่งนี้ไว้ อาทิ องค์พระนาราย์ที่ประดิษฐานอยู่ชั้นบนของโรงแรม จะย้ายลงมาอยู่ข้างล่างบริเวณหน้าโรงแรมเพื่อให้คนทั่วไปสักการะได้ เป็นต้น”

เมื่อถามถึงแผนการลงทุนเพิ่มเติมในอนาคต “นที” บอกว่า นโยบายของกลุ่มนารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ จะขยายแบบค่อยเป็นค่อยไป จะยังคงโฟกัสโครงการพัฒนาโรงแรมใหม่ทดแทนโรงแรมนารายณ์ บนถนนสีลม เป็นหลัก เนื่องจากเป็นโครงการที่ใช้เงินลงทุนสูง

เรียกว่า สูงที่สุดในรอบ 54 ปี หรือตั้งแต่เปิดธุรกิจมา

พร้อมย้ำว่า แม้ว่าจะเป็นโครงการที่ลงทุนสูง แต่เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้า การลงทุนเพื่อพัฒนาโปรดักต์ให้สอดรับกับยุคสมัยและความต้องการของนักท่องเที่ยวยุคใหม่จึงเป็นความจำเป็น

โดยมั่นใจว่า โครงการใหม่นี้จะเป็นแผนพัฒนาที่จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ให้ย่านสีลมได้ก้าวไปสู่ความทันสมัย พร้อมดึงนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก และทำให้พื้นที่แห่งนี้กลับมามีชีวิตอีกครั้งในอีก 4 ปีข้างหน้า

รีแบรนด์ ‘หลับดี’ ขยายฐานลูกค้า

โรงแรม “หลับดี” หรือ Lub D เป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์โฮเทลในเครือนารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป (Narai Hospitality Group)

“นิธิดา นิธิวาสิน” ผู้อำนวยการแบรนด์หลับดี บอกว่า ปัจจุบันโรงแรมหลับดีมี 5 แห่ง ได้แก่ หลับดี สยาม,หลับดี เกาะสมุย หาดเฉวง, หลับดี ป่าตอง ภูเก็ต, หลับดี มากาตี ฟิลิปปินส์ และหลับดี เสียมราฐ กัมพูชา

โดยล่าสุดได้ประกาศรีแบรนด์โรงแรมหลับดี บางกอก สยาม (กรุงเทพฯ) จาก “โฮสเทล” สู่ไลฟ์สไตล์โฮเทล ด้วยงบประมาณ 50 ล้านบาทไปเรียบร้อยแล้วเมื่อ 25 มีนาคม 2565 หลังจากปิดปรับปรุงมาระยะหนึ่ง

“เรารีโนเวตพื้นที่ส่วนกลาง ปรับพื้นที่ Dorm หรือหอพัก เป็น coworking space เพื่อจับตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ทั้งเจเนอเรชั่น Z และอัลฟ่า ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ workation สามารถรองรับการประชุมหรือการจัดเวิร์กช็อปเป็นกลุ่มได้ รวมถึงยังมีการปรับปรุงห้องพักจำนวน 30 ห้องที่ผสมผสานความเป็นท้องถิ่นและความทันสมัยเข้าด้วยกัน”

ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นกว่าเดิม โดยจับกลุ่มลูกค้าที่ยังชอบบรรยากาศของโฮสเทล มีพื้นที่ส่วนกลางให้สังสรรค์ร่วมกัน แต่ยังคงไว้ซึ่งความเป็นส่วนตัว และไม่ได้มีราคาที่ถูกหรือแพงจนเกินไป

นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างเตรียมปรับปรุงโรงแรมหลับดี ป่าตอง ภูเก็ตด้วย โดยมีกำหนดเปิดให้ลูกค้าเข้าใช้บริการในช่วงเดือนกรกฎาคมปีนี้อีกด้วย

ขณะเดียวกันก็มีแผนลงทุนเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้มีแผนเปิดตัวโรงแรมใหม่ 2 แห่ง ได้แก่ หลับดี เชียงใหม่ และหลับดี จตุจักร และลงทุนเพิ่มต่อเนื่องอีก 2 แห่งในปี 2566 ได้แก่ หลับดี พะงัน (สุราษฎร์ธานี) และหลับดี กระบี่

“เราอยากโตเร็วกว่าเดิม เพราะปัจจุบันตลาดกลุ่ม affordable lifestyle เติบโตเร็วกว่ากลุ่ม backpacker มาก”

พร้อมให้ข้อมูลว่าในอนาคตจะพิจารณาขยายแบรนด์ดังกล่าวเพิ่มเติมทั้งภายในประเทศ รวมถึงต่างประเทศ เช่น ประเทศฟิลิปปินส์, ประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น

และตั้งเป้ามีรายได้รวมมากกว่า 600 ล้านบาทต่อปีได้ภายใน 5 ปี จากปัจจุบันที่มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 300 ล้านบาทต่อปี