บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เราๆ นิยมฉีกซองเติมน้ำร้อนกินกันตอนใกล้สิ้นเดือน มีต้นกำเนิดมาจากแดนอาทิตย์อุทัย เมื่อญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงนั้นเศรษฐกิจทั้งโลกฝืดเคืองยกเว้นพี่เบิ้มสหรัฐอเมริกา ที่ไม่โดนผลกระทบจากสงครามโลกมากนัก เพราะแผ่นดินพญาอินทรีย์ไม่ต้องซ่อมแซมบ้านเรือนช่วงหลังสงคราม
เช่นเดียวกับญี่ปุ่น ที่เผชิญภาวะข้าวยากหมากแพง นอกจากต้องซ่อมแซมบ้านเรือนยังต้องตกอยู่ในฐานะผู้แพ้สงคราม กระทรวงสาธารณสุขของญี่ปุ่นแนะนำให้ชาวญี่ปุ่นกินขนมปังทำจากข้าวสาลี ที่สหรัฐอเมริกาให้ ด้วยเลือดรักชาติ “อันโด โมโมฟุกุ” คิดว่าทำไมคนญี่ปุ่นต้องกินขนมปังตามก้นสหรัฐฯ ทั้งที่คนญี่ปุ่นชอบกิน “ราเมน” เขาจึงคิดทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขึ้นมา และต่อมา “อันโด” กลายเป็นผู้ก่อตั้งและประธานกลุ่มบริษัทนิสชิน
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
นี่คือจุดเริ่มต้นของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แล้วเจ้าบะหมี่แห้งในซองก็ขยายวงไปทั่วโลก ต่อมา “อันโด” ได้ผลิตบะหมี่ในถ้วยโฟมออกวางขาย ในฃื่อที่คนไทยค่อนข้างคุ้นหูคือ “นิสชินคัพนู้ดเดิ้ล”
แต่เส้นทางบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในเมืองไทย ที่ใครๆ ก็เรียกปนกันหมดว่า “มาม่า” นั้น เจ้าแรกที่บุกตลาดเมืองไทย ไม่ใช่ “มาม่า” ของเครือสหพัฒนพิบูล ที่ชิงส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่ง หากเป็นบะหมี่ยี่ห้อ “ซันวา” ซึ่งเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในแบบโคลนนิ่งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของญี่ปุ่นที่เวลานั้นบูมไปทั่วโลก โดยต้องฉีกซองต้มก่อนกิน
เป็นเวลาเดียวกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสายไต้หวันที่เพียงแค่ “ฉีกซอง” แล้วเติมน้ำร้อนทิ้งไว้ 3 นาทีก็กินได้เริ่มแพร่หลาย แล้ว “ยำยำ” ก็กำเนิดขึ้น โดยเริ่มผลิตครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2514 ตามมาด้วย “ไวไว” ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2515 และ “มาม่า” ตามมาเป็นอันดับ 4 ขณะนั้น ถือเป็น 4 ก๊กแห่งวงการบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
แต่ความที่เกิดทีหลังเพื่อน และชื่อ “มาม่า” ก็ไม่ติดหูของคนไทย เพราะไม่ใช่ชื่อ “ยำยำ” หรือ “ไวไว” ที่เป็นศัพท์ไทยจ๋า ทำให้ยุคแรกของมาม่าขายไม่ดีเท่าไหร่ มาม่าจึงปรับกลยุทธ์ ทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสหมูสับ มี “ซุปไก่และหมูสับ” นำรสชาติ ตามมาด้วย “ต้มยำกุ้ง” ผสานกับกลยุทธ์ “แจกทอง” ในช่วง 3 ทศวรรษหลัง ทำให้มาม่ากลายเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งในวงการบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มีภาพรวมตลาดมูลค่า 14,500 ล้านบาท ที่สำคัญยังกลายเป็น “ดัชนี” วัดเศรษฐกิจได้อีกด้วย