เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยหลายครั้งกว่าที่คาด หลังเห็นเงินเฟ้อยังไม่ชะลอลงเท่าที่หวัง

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ขึ้นดอกเบี้ย
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)/ REUTERS/ Leah Millis/ File Photo

ประธานสาขาธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลายสาขามีความเห็นว่า เฟดอาจต้องขึ้นดอกเบี้ยอีกหลายครั้งกว่าที่ประกาศไว้ หลังจากเห็นอัตราเงินเฟ้อสหรัฐเดือนมกราคม 2566 ยังสูง 6.4% ซึ่งแม้ในทางสถิตินี่เป็นอัตราที่ชะลอลงต่ำสุดในรอบ 15 เดือน แต่ก็ชะลอลงน้อยกว่าที่คาดการณ์-คาดหวัง และสูงกว่าเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อที่ 2% อยู่มาก

สหรัฐแถลงตัวเลขอัตราเงินเฟ้อประจำเดือนมกราคม 2566 ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ปรากฏว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 6.4% แม้ในทางสถิตินี่เป็นอัตราที่ชะลอลงต่ำสุดในรอบ 15 ปี แต่ก็ชะลอลงน้อยกว่าที่คาด และยังสูงกว่าเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อที่ 2% อยู่มาก

และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) ในเดือนมกราคมเพิ่มขึ้น 0.5% จากเดือนก่อนหน้า โดยมีแรงหนุนจากค่าน้ำมันและค่าที่พักอาศัย ซึ่งเป็นไปตามการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ แต่เป็นการเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า (MOM) มากที่สุดในรอบ 3 เดือน 

ต่อมา วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า เจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve System : Fed) เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงต่อไปเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้ลดลงสู่เป้าหมายให้ได้ และหากอัตราเงินเฟ้อยังสูง ก็อาจจะต้องขึ้นดอกเบี้ยต่อไปอีกหลายครั้งกว่าที่เคยประกาศไว้ว่าจะขึ้นอีกสองสามครั้ง 

โธมัส บาร์กิน (Thomas Barkin) ประธานเฟดสาขาริชมอนด์ กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg ว่า “หากอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่าเป้าหมาย บางทีเราอาจจำเป็นต้องทำมากกว่านั้น” 

ส่วน ลอรี่ โลแกน (Lorie Logan) ประธานเฟดสาขาดัลลัส กล่าวที่ Prairie View A&M University ในรัฐเทกซัสว่า “เราต้องเตรียมพร้อมที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปเป็นระยะเวลานานกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ หากเส้นทางนั้นจำเป็นในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มเศรษฐกิจ หรือเพื่อลบล้างเงื่อนไขข้อจำกัดในการผ่อนคลาย ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ” 

โลแกนบอกอีกว่า มีความเสี่ยง 2 ประการต่อการดำเนินนโยบายการเงินในขณะนี้ คือ การทำน้อยเกินไปแล้วทำให้อัตราเงินเฟ้อกลับสูงขึ้นอีก กับการทำมากเกินไปจนสร้างความเจ็บปวดในตลาดแรงงานมากเกินไป ซึ่งเธอมองว่าความเสี่ยงที่สำคัญกว่าคือ การทำน้อยเกินไป 

ด้าน แพทริก ฮาร์กเกอร์ (Patrick Harker) ประธานเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย บอกว่าเขาเชื่อว่าผู้กำหนดนโยบายจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยขึ้นไปสูงกว่า 5% และอาจจะสูงกว่านั้นอีก เพื่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่ผ่อนคลายลงอย่างช้า ๆ แต่จะสูงแค่ไหน เขาบอกว่า “ต้องให้ข้อมูลเป็นตัวกำหนด” 

ขณะที่ จอห์น วิลเลียมส์ (John Williams) ประธานเฟดสาขานิวยอร์กกล่าวว่า การมีอัตราดอกเบี้ยในช่วงระหว่าง 5-5.5% ภายในสิ้นปีนี้ ตามที่เฟดคาดการณ์ไว้ ถือเป็นกรอบที่เหมาะสม 

“ผมคิดว่า ด้วยความแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน เห็นได้ชัดว่ามีความเสี่ยงที่อัตราเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ในระดับสูงนานกว่าที่คาดการณ์ไว้ หรือว่าเราอาจจำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้สูงกว่านั้น” 

วิลเลียมส์มั่นใจว่า อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลงไปสู่เป้าหมาย 2% ได้ แต่เขาย้ำว่างานของเฟดยังไม่สิ้นสุด

ทั้งนี้ แม้ว่าเจ้าหน้าที่ของเฟดทุกคนจะเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) แต่ในบรรดาคนที่ให้ความเห็นดังที่ว่ามาไม่ใช่ทุกคนที่มีสิทธิ์ออกเสียง ลอรี่ โลแกน (Lorie Logan) ประธานเฟดสาขาดัลลัส และแพทริก ฮาร์กเกอร์ (Patrick Harker) ประธานเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย เป็นสมาชิกคณะกรรมการในการลงคะแนนในปีนี้ ขณะที่จอห์น วิลเลียมส์ (John Williams) ในฐานะประธานเฟดสาขานิวยอร์ก เป็นสมาชิกคณะกรรมการถาวรในการลงคะแนน ส่วนโธมัส บาร์กิน ประธานเฟดสาขาริชมอนด์ ไม่ได้เป็นสมาชิกที่จะลงคะแนนในปีนี้

ส่วนปฏิกิริยาของตลาดหลังทราบตัวเลขเงินเฟ้อ ดัชนี S&P 500 ร่วงลง ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลพุ่งขึ้นตามข้อมูลเงินเฟ้อล่าสุด 

หลังจากเห็นตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่งเกินคาด และอัตราเงินเฟ้อที่ยังสูงต่อเนื่อง ตอนนี้นักลงทุนเดิมพันด้วยอัตราต่อรองเกือบเท่ากันว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในเดือนมิถุนายน หลังจากปรับขึ้นครั้งละ 0.25% ในเดือนมีนาคมและพฤษภาคม 

ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์จาก Barclays Plc และ Monetary Policy Analytics มองว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยขึ้นไปสิ้นสุดที่ช่วง 5.25-5.50% 

นักเศรษฐศาสตร์ของ Barclays เขียนอธิบายว่า การคาดการณ์ที่สูงขึ้นสะท้อนถึงมุมมองของ Barclays ที่ว่าเฟดจะต้องเห็นการชะลอตัวลงอย่างมากในตลาดแรงงาน เพื่อเป็นหลักฐานแสดงให้เห็นแนวโน้มว่าค่าจ้างกำลังจะกลับไปสู่อัตราการเพิ่มขึ้นที่สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อ 2% แล้วเฟดจึงจะหยุดขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งหลักฐานดังกล่าวนี้จะยังไม่ปรากฏให้เห็นจนกว่าจะถึงกลางปี