
ปูตินเยือนเวียดนาม นักวิเคราะห์มองเป็นความท้าทายของเวียดนามที่กำลังบาลานซ์ระหว่างความพันธ์กับสหรัฐและความสัมพันธ์กับรัสเซียไปจนถึงกับจีน การเยือนของปูตินอาจทำให้ชาติตะวันตกกังวลกับจุดยืนของเวียดนามมากขึ้น
วันที่ 20 มิถุนายน 2024 วลาดิมีร์ ปูติน (Vladimir Putin) ประธานาธิบดีรัสเซียเดินทางเยือนกรุงฮานอย ประเทศเวียดนามอย่างเป็นทางการ หลังจากที่เยือนเกาหลีเหนือในวันที่ 19-20 มิถุนายน
การเยือนครั้งนี้ของปูตินทำให้เวียดนามกลายเป็นประเทศเดียวในโลกที่ได้ต้อนรับผู้นำสูงสุดของจีน สหรัฐอเมริกา และรัสเซีย ภายในช่วงเวลา 1 ปี
สื่อที่ควบคุมโดยรัฐบาลเวียดนามรายงานว่า ปูตินกับประธานาธิบดีโต เลิม (To Lam) ของเวียดนามได้ลงนามเอกสารความร่วมมือ 11 ฉบับ ในด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ การวิจัยเทคโนโลยีนิวเคลียร์ การสำรวจน้ำมันและก๊าซ สาธารณสุข และความยุติธรรม โดยการมีส่วนร่วมของบริษัทชั้นนำของรัสเซียซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทของรัฐ
ในการประชุมหารือ ทั้งสองฝ่ายได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการสร้างสันติภาพ และเรียกร้องการจัดลำดับความสำคัญให้ “ความสัมพันธ์ระหว่างกัน” มาเป็นอันดับแรก
“การเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้านกับเวียดนามถือเป็นหนึ่งในลำดับความสำคัญของเรา” รอยเตอร์ (Reuters) รายงานคำกล่าวของปูตินโดยอ้างสื่อเวียดนาม
“รัสเซียเคารพการเจรจากับอาเซียน” ประธานาธิบดีรัสเซียกล่าว

นอกจากนั้น ปูตินชมเวียดนามว่าวางตัวได้เหมาะสมต่อกรณีสงครามรัสเซียกับยูเครน และชื่นชมที่เวียดนามมีนโยบายไม่แทรกแซงกิจการของประเทศอื่น ขณะเดียวกัน ก็กล่าวว่าประเทศของตนเองสนับสนุน “การต่อสู้อย่างกล้าหาญของชาวเวียดนามเพื่อต่อต้านผู้รุกรานจากต่างประเทศ”
นิกเคอิเอเชีย (Nikkei Asia) รายงานว่า นักวิเคราะห์หลายคนบอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและเวียดนามนั้นฝังรากลึกอยู่กับสงครามเย็น ทั้งคู่กระตือรือร้นที่จะแสดงให้เห็นว่าตนเองมีทางเลือกอื่น ๆ ในด้านความมั่นคง นอกเหนือจากจีนและสหรัฐ
นักวิเคราะห์มองว่าการประชุมระหว่างสองผู้นำครั้งนี้ตอกย้ำจุดยืนอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของรัฐบาลเวียดนามที่พยายามบาลานซ์ระหว่างความสัมพันธ์กับทั้งบรรดารัฐเผด็จการและกับรัฐที่เป็นประชาธิปไตยซึ่งอยู่ขั้วตรงข้ามกัน
ทั้งนี้ ความสัมพันธ์กับสหรัฐนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเวียดนาม เนื่องจากสหรัฐเป็นปลายทางการส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม และเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว รัฐบาลเวียดนามได้ยกระดับสถานะความสัมพันธ์ทางการทูตของสหรัฐขึ้น 2 ระดับสู่ระดับสูงสุด
ขณะเดียวกัน เวียดนามเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ใกล้ชิดกับรัสเซียมากพอที่จะเป็นเจ้าภาพต้อนรับการเดินทางต่างประเทศของปูติน หลังจากที่ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ออกหมายจับเขา และในขณะที่ขั้วพันธมิตรชาติตะวันตกซึ่งนำโดยสหรัฐพยายามจะโดดเดี่ยวเขา
ฟุตาบะ อิชิซูกะ (Futaba Ishizuka) นักวิจัยจากสถาบันเศรษฐกิจกำลังพัฒนา (Institute of Developing Economies) ของญี่ปุ่น วิเคราะห์ว่า มีความเสี่ยงที่ประเทศตะวันตกจะมีความกังวลเกี่ยวกับจุดยืนด้านการต่างประเทศของเวียดนามมากขึ้น
จุดยืนของเวียดนามในการให้ความเคารพต่อรัฐบาลรัสเซีย คือการหลีกเลี่ยงการใช้คำว่า “สงคราม” ในกรณีที่รัสเซียบุกยูเครน
ในขณะเดียวกัน เวียดนามก็พึ่งพาอาวุธของรัสเซียอย่างหนักเพื่อป้องกันประเทศของตนเอง ซึ่งเอียน สตอเรย์ (Ian Storey) นักวิจัยอาวุโสของสถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัก (ISEAS-Yusof Ishak Institute) แสดงความเห็นว่า ประเด็นหลักสำหรับการอภิปรายคือเวียดนามหลีกเลี่ยงการคว่ำบาตรทางการเงินของชาติตะวันตกต่อรัสเซียอย่างไรในการจ่ายค่าซื้ออาวุธให้รัสเซีย
การที่เวียดนามต้อนรับปูตินเยือนประเทศในช่วงเวลาที่กลุ่ม G7 หรือกลุ่มประเทศเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมก้าวหน้ากำลังพิจารณาที่จะเพิ่มการคว่ำบาตรรัสเซียและเพิ่มแรงกดดันต่อจีน แสดงให้เห็นว่าเวียดนามแยกทางกับชาติตะวันตกในเรื่องรัสเซีย
จอช เคอร์ลันต์ซิก (Josh Kurlantzick) นักวิจัยอาวุโสของสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (Council on Foreign Relations) ซึ่งเป็นองค์กรคลังสมองในสหรัฐวิเคราะห์ว่า ที่เวียดนามทำเช่นนั้น เนื่องจากความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของทั้งคู่ตั้งแต่สมัยสหภาพโซเวียต
หลัน อัห์น ฮอง (Lan Anh Hoang) ศาสตราจารย์ด้านการพัฒนาศึกษา มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น กล่าวให้เห็นภาพชัดขึ้นว่า ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของเวียดนามกับรัสเซียได้รับการสนับสนุนจากประวัติศาสตร์การย้ายถิ่นของชาวเวียดนามไปยังกลุ่มประเทศโซเวียต ตั้งแต่เด็กกำพร้าและนักเรียน ในทศวรรษ 1950 รวมไปจนถึงผู้ประกอบการที่กลับมาสร้าง “วินกรุ๊ป” (Vingroup) และ เวียตเจ็ต (Vietjet) ในปัจจุบัน ผู้ก่อตั้งธุรกิจเหล่านั้นได้รับเงินจากการค้าขายหรือทำธุรกิจในรัสเซียในช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงที่ได้รับแรงหนุนจากการปฏิรูปเปเรสทรอยกาในช่วงทศวรรษ 1990