คอลัมน์ ชีพจรเศรษฐกิจโลก
โดย ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
นักวิชาการทั้งด้านเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์เห็นตรงกันว่า ปี 2019 นี้เป็นปีหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญสำหรับสหภาพยุโรป (อียู) กลุ่ม 27 ประเทศที่รวมตัวเป็นเขตการค้าขนาดมหึมา กำลังเผชิญสารพัดปัญหา ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงภายในประเทศภาคีระดับนำ เรื่อยไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่สุด คือ การพ้นจากสมาชิกภาพของอังกฤษในสิ้นเดือนมีนาคมนี้
ภายใต้ข้อเท็จจริงทั้งหมดเมื่อถึงเวลานั้นไม่ว่าจะมีความตกลงกันขึ้นหรือไม่ “อังกฤษ” ประเทศขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของกลุ่มจะหลุดพ้นจากการเป็นสมาชิกอียูอย่างแน่นอน
ในห้วงเวลาเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญทางการเมืองเชื่อว่า ผู้นำที่อยู่ในตำแหน่งยาวนานที่สุด และมีบทบาทสูงสุดในการชูธงเอกภาพอียูอย่างอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ก็อาจต้องพ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ จากสถานะง่อนแง่นทางการเมืองหลังเลือกตั้งครั้งล่าสุด
ผู้ที่สนับสนุนแนวคิดการรวมตัวเป็นอียูและเป็นผู้นำที่ได้ชื่อว่ามีแนวคิดปฏิรูปมากที่สุดเป็นลำดับถัดมาอย่างเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ก็ต้องเผชิญ “วิกฤตความน่าเชื่อถือ” ครั้งสำคัญท่ามกลางกระแสคลื่นประท้วงเป็นระลอก ๆ นานนับเดือน
ยิ่งไปกว่านั้น รัฐสภายุโรปยังมีกำหนดเลือกตั้งสมาชิกสภากันใหม่ในปีนี้ ที่คาดหมายกันว่าจะกลายเป็นโอกาสอันดีของบรรดาผู้นำพรรคแนวคิดชาตินิยมปีกขวา ที่เคลือบแคลงประโยชน์ของการรวมตัวกันมาโดยตลอดใช้รุกคืบยึดครองที่นั่งในรัฐสภายุโรปได้มากกว่าครั้งไหน ๆ
สุดท้ายในปลายปี 2019 อียูก็มีกำหนดจะเลือกประธานคนใหม่แทนนายฌอง-โคลด ยุงเกอร์ ประธานอียูคนปัจจุบัน
ความไม่แน่นอนเหล่านั้นสร้างความวิตกให้กับอียู แต่เวลาเดียวกัน ทุกฝ่ายก็ตระหนักในข้อเท็จจริง 2 ประการที่เป็นข้อเท็จจริงพื้นฐานที่ “แน่นอน”
หนึ่งในนั้นคือ อียูยังคงเป็นการรวมกลุ่มทางการค้า หรือเทรดบล็อกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก และการสำรวจความคิดเห็นหลังสุด 70% ของคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในอียู มองว่าการเป็นสมาชิกอียูนั้นเป็นผลดีต่อพวกตน
มาเรีย เดเมอร์ทซิส รองผู้อำนวยการสถาบันบรูเกล สถาบันวิชาการอิสระในกรุงบรัสเซลส์ เชื่อมั่นว่าไม่ว่าจะมีอังกฤษรวมอยู่ด้วยหรือไม่ อียูก็ยังคงเป็นเขตการค้าอันดับหนึ่งของโลก เป็นเขตการค้าที่มีแนวความคิดชัดเจนที่สุดว่าตนเองเป็นอะไรในระบบการค้าและเศรษฐกิจของทั้งโลก
เพอร์เซมิสลาฟ โควาลสกี ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและสังคม ในกรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ ยอมรับว่า การสูญเสียอังกฤษไป ถือเป็นความเสียหายใหญ่หลวงของอียู ทั้งในทางเศรษฐกิจและในทางการทูต พร้อมยกตัวอย่างเป็นเชิงทำนายว่า ความสัมพันธ์ระหว่างอียูกับสหรัฐน่าจะบริหารจัดการได้ยากลำบากขึ้น เมื่อไม่มีอังกฤษ
อย่างไรก็ตาม ความพยายามผละออกจากอียูของอังกฤษ แทนที่จะกลายเป็น “แบบอย่าง” ให้สมาชิกประเทศอื่น ๆ เดินออกจากกลุ่มตามไปด้วยอย่างที่หวั่นในตอนแรก กลายเป็นอุทาหรณ์สอนใจ เพราะเบร็กซิตก่อปัญหาทางการเมืองในระดับ “วิกฤต” แม้แต่แกนนำในยุโรปที่เคยเป็นปฏิปักษ์กับอียูก็เริ่มคลายท่าทีแข็งกร้าวลง ถอยหลังหนึ่งก้าวมาจากการผละออกจากอียูกันเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าจะได้รับการคาดหมายว่ากลุ่มก้อนนี้น่าจะได้ที่นั่งในสภายุโรปเพิ่มมากขึ้นในการเลือกตั้งเดือนพฤษภาคมนี้ก็ตามหมายความว่าแนวทางการปฏิรูปอียูด้วยการเพิ่มระดับการรวมตัวกันให้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น เป็นเอกภาพมากยิ่งขึ้นในอนาคตอาจเผชิญการต่อต้านมากขึ้นไปด้วย หรืออาจหมายความว่า หากเกิดปัญหาระดับวิกฤตขึ้นอีกในอนาคต
ไม่ว่าจะเป็นไปในทำนองเดียวกับวิกฤตยูโรหรือวิกฤตผู้อพยพ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยเอกภาพเชิงนโยบายในระดับสูงสุดของอียูเพื่อการแก้ไขภาวะยุ่งยากลำบากอย่างยิ่งจะเกิดขึ้นตามมา
อย่างไรก็ตาม โควาลสกีเชื่อว่า อียูจะสามารถผ่านพ้นปีแห่งวิกฤตและยากลำบากนี้ไปได้ด้วยเหตุผลสำคัญก็คือ อียูไม่ใช่การรวมกลุ่มกันเพื่ออานุภาพทางทหารตรงกันข้าม เป็นการร่วมมือกันบนพื้นฐานของการค้า สร้างเอกภาพขึ้นมาภายใต้ความหลากหลายที่ไม่มีวันสิ้นสุด ซึ่งเป็นจุดแข็งอย่างยิ่งของอียู