ทำไมโลกต้องสะเทือน เมื่อ “ทรัมป์” ติดโควิด-19

(Photo by ALEX EDELMAN / AFP)
คอลัมน์ ชีพจรเศรษฐกิจโลก
ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์

ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” แห่งสหรัฐอเมริกา ถูกตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสโรคโควิด-19 พร้อมกับ “เมลาเนีย ทรัมป์” ภริยา และบุคคลใกล้ชิดอีกอย่างน้อย 9 คน

เหตุการณ์นี้กลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก ไม่เพียงเป็นเพราะสหรัฐถูกยึดถือว่าเป็นมหาอำนาจเท่านั้น ยังเป็นเพราะจังหวะเวลาการติดเชื้อของทรัมป์ สามารถส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อหลาย ๆ เรื่องด้วย

การติดเชื้อโควิด-19 ของทรัมป์ ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนมหาศาลตามมา ทับซ้อนกับความไม่แน่นอนจากการแพร่ระบาดของโควิดที่เป็นวิกฤตอยู่แล้ว

ความไม่แน่นอนใหญ่หลวงเกิดขึ้น เพราะปีนี้เป็นปีแห่งการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่ได้ดำเนินมาตั้งแต่ต้นปี และทั้งสองพรรคการเมืองใหญ่ก็ได้ “แคนดิเดต” สำหรับชิงชัยในวันที่ 3 พ.ย.นี้แล้ว

การติดเชื้อโควิดของทรัมป์ ทำให้ทุกอย่างเกี่ยวกับการเลือกตั้งกลายเป็นคำถาม ที่หาคำตอบที่แน่นอนไม่ได้

เช่น ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับทรัมป์ ซึ่งอาจถึงขั้น “ไม่เหมาะสมกับการปฏิบัติหน้าที่” หรือร้ายแรงถึงขั้น “เสียชีวิต” ก่อนถึงวันเลือกตั้ง ตัวแทนพรรครีพับลิกันในนการเลือกตั้งครั้งนี้ สามารถเปลี่ยนเป็น ไมก์ เพนซ์ ได้ตามกฎของพรรค

แต่ผลของการนี้จะกระทบกับการตัดสินใจของผู้มีสิทธิออกเสียงในวันเลือกตั้ง ? จะเกิด “คะแนนสงสาร” ตามมาหรือไม่ ? ไม่มีใครตอบได้แน่ชัด

นักวิเคราะห์บางคนถึงกับออกปากว่าทรัมป์ติดโควิดคนเดียว การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐถึงกับ “พลิกคว่ำคะมำหงาย” แม้ว่าโพลทั้งหลายขณะนี้จะชี้ว่า โจ ไบเดน แห่งพรรคเดโมแครต ยังมีคะแนนนิยมนำหน้าทรัมป์อยู่ไม่น้อยก็ตาม

นัยสำคัญของเรื่องนี้จึงอยู่ที่ว่า อาการป่วยของทรัมป์จะหนักขนาดไหน ต้องใช้เวลาฟื้นฟูนานหรือไม่ และฟื้นฟูกลับคืนมาเต็มที่ได้หรือไม่ ?

ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์บางรายชี้ว่า อาการของทรัมป์ “ค่อนข้างสาหัส” เมื่อพิจารณาจากยาที่แพทย์ประจำโรงพยาบาลทหารแห่งชาติวอลเตอร์รีด จ่ายให้กับทรัมป์ เพราะเป็นยาสำหรับบรรเทาอาการอักเสบของปอดและช่วยเสริมออกซิเจนในกระแสเลือด

ยิ่งหากนำเอาประเด็นเรื่องอายุของทรัมป์มาพิจารณาร่วมด้วย ก็แทบสรุปได้ว่า ทรัมป์ ในวัย 74 ปี น้ำหนักเกินจนแทบเป็นโรคอ้วน เมื่อติดโควิด-19 ก็สุ่มเสี่ยงถึงชีวิตได้ ความสาหัสแค่ไหนในอาการป่วยของทรัมป์จึงเป็นเรื่องสำคัญ

จนกลายเป็นประเด็นอื้อฉาวโจมตี “ชอว์น คอนลีย์” หัวหน้าคณะแพทย์ประจำทำเนียบขาว ที่ไม่ยอมเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาถึงอาการของทรัมป์ ในวันที่ต้องเข้ารับการรักษา บอกกับผู้สื่อข่าวเพียงว่า ทรัมป์แสดงอาการ “เล็กน้อย” เท่านั้น จนปรากฏในเวลาต่อมาว่า ทรัมป์อยู่ในสภาพเพลีย อ่อนล้าไปทั้งตัว ระดับออกซิเจนในเลือดต่ำมาก จึงถูกแนะให้ส่งตัวเข้าโรงพยาบาล

ผู้ที่มีประสบการณ์กับการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า การประเมินอาการของทรัมป์ในเวลานี้คงยาก เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการทรุดลงหนักมากและเร็วมาก หลังจากที่พบว่าติดเชื้อครั้งแรกราว 1 สัปดาห์

อาการป่วยโควิดของนายกรัฐมนตรี “บอริส จอห์นสัน” แห่งอังกฤษ ก็เป็นไปในท่วงทำนองนี้ ในตอนแรกที่ติดเชื้อยังคง “เวิร์กฟรอมโฮม” ได้ แต่หนึ่งสัปดาห์ให้หลังต้องพาตัวเข้าไอซียูเร่งด่วน ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจพยุงชีพ

นักสังเกตการณ์บางคนบอกว่า การติดเชื้อของทรัมป์ยังอาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในนโยบายต่อจีนไปในทางลบอีกด้วย กล่าวคือทรัมป์จะยิ่งไม่พอใจจีนมากยิ่งขึ้น เมื่อต้องเผชิญกับการดิ้นรนเอาชีวิตรอดเพราะโควิด-19 ที่เริ่มระบาดจากประเทศจีน

เหมือนเช่นที่ นายกรัฐมนตรีจอห์นสัน เคยแสดงให้เห็นมาแล้ว เมื่อหายป่วยโควิดกลับมา

เจมส์ แมคโดนัลด์ แห่งเฮอร์คิวลิส อินเวสต์เมนต์ เชื่อว่า การป่วยของทรัมป์ส่งผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทุกเรื่อง ตั้งแต่เรื่องภาษี, ความขัดแย้งด้านการค้า และเรื่องงบประมาณ มีโอกาสจะพลิกโฉมไปในแนวทางของเดโมแครตมากยิ่งขึ้นกว่าที่ผ่านมา

เหตุผลเพราะการล้มป่วย ลดขีดความสามารถในการรณรงค์หาเสียงของทรัมป์ลง ในยามที่หลงเหลือเวลาน้อยแล้ว

กระนั้น ความเห็นที่ตรงกันเป็นส่วนใหญ่ก็คือ ไม่ว่าจะเป็นทรัมป์ หรือไบเดน ได้เปรียบในการเลือกตั้งหนนี้

ปัญหาใหญ่ที่สุด ยังจะเป็นเรื่องของ “ความไม่แน่นอน” สูงมาก จนวางแผนกำหนดกะเกณฑ์ใด ๆ ไม่ได้เอาเลยนั่นเอง