“เฟด” ขึ้นดอกเบี้ยเร็ว-หยวนแข็ง ถ้า “ไบเดน” ชนะเลือกตั้ง

REUTERS/Tom Brenner
คอลัมน์ ชีพจรเศรษฐกิจโลก
นงนุช สิงหเดชะ

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 พ.ย.นี้ ที่มีแนวโน้มว่า “โจ ไบเดน” จากพรรคเดโมแครต จะชนะ “โดนัลด์ ทรัมป์” ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดมากที่สุดครั้งหนึ่งของการเลือกตั้งสหรัฐโดยเฉพาะนักลงทุน เพราะอย่างน้อยนโยบายเศรษฐกิจบางอย่างของไบเดนจะต่างไปจากรัฐบาลทรัมป์ค่อนข้างแน่ โดยเฉพาะเรื่องภาษี

“จิม แครอน” ผู้จัดการพอร์ตการลงทุนของมอร์แกน สแตนลีย์ อินเวสต์เมนต์ แมเนจเมนต์ ประเมินว่าหากเกิดปรากฏการณ์ “คลื่นสีน้ำเงิน” ซึ่งหมายถึง โจ ไบเดน ชนะเลือกตั้ง และเดโมแครตสามารถกวาดที่นั่งข้างมากได้ทั้ง 2 สภา สิ่งที่จะตามมาก็คือการเพิ่มมาตรการการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากไวรัสโควิด-19 ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไปได้เรื่อย ๆ ไม่เพียงแค่ปี 2021 แต่อาจส่งผลไปถึงปี 2022 ด้วย

เมื่อผลจากมาตรการกระตุ้น สามารถรักษาการเติบโตของเศรษฐกิจไปได้ยาวถึงปี 2022 ก็มีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเร็วกว่ากำหนด จากเดิมที่ประเมินกันว่าวิกฤตเศรษฐกิจร้ายแรงครั้งนี้เฟดจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยอีกเลยเป็นเวลา 3 ปี และคาดว่าจะไปขึ้นอีกครั้งในช่วงปี 2024-2025 ก็อาจร่นเวลาเร็วขึ้นเป็น 2023-2024

“อย่างไรก็ตาม การชนะของพรรคเดโมแครต ก็อาจไม่ได้ดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐทั้งหมด เพราะยังมีหลายคำถามเกี่ยวกับนโยบายภาษีของพรรค และกฎระเบียบต่าง ๆ ที่อาจก่อให้เกิดความไม่แน่นอนขึ้นได้”

นักลงทุนจำนวนไม่น้อย เกรงว่าหากไบเดนชนะ อาจมีการขึ้นภาษี ทั้งภาษีเงินได้สำหรับคนรวยไปถึง 60% ภาษีกำไรจากการขายหุ้น และออกกฎระเบียบควบคุมต่าง ๆ เคร่งครัดขึ้น อันจะทำให้บริษัทขนาดใหญ่มีกำไรลดลง และสุดท้ายเศรษฐกิจเติบโตน้อยลง

ภายหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 เดโมแครตเป็นพรรคที่ต้องการให้มีการใช้งบฯมากถึง 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ อัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ในขณะที่พรรครีพับลิกันซึ่งเป็นรัฐบาลเห็นว่าควรใช้เพียง 1.6 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้การอนุมัติแผนกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ล่าช้าอยู่ในขณะนี้ ดังนั้นนักลงทุนจึงคาดหมายว่าหากเดโมแครตชนะเลือกตั้ง จะมีการออกมาตรการการคลังเพิ่มเติมมากกว่ารีพับลิกัน

ด้านนักวิเคราะห์ของสวิสแบงก์ ลอมบาร์ด โอดิเยร์ ระบุว่า หากไบเดนชนะอาจหมายถึง “เงินหยวน” ของจีนจะแข็งค่าขึ้น เพราะถึงแม้เดโมแครตจะมีนโยบายแข็งกร้าวต่อจีนไม่ต่างจากรีพับลิกัน แต่วิธีการของไบเดนจะใช้เหตุผลมากกว่าในแง่การค้ากับจีน ดังนั้นจะช่วยลดความไม่แน่นอนทางการค้าลงไปได้

อีกประการหนึ่งไบเดนเคยตำหนิทรัมป์ที่เปิดสงครามการค้าจีนว่าการขึ้นภาษีสินค้าจีนสร้างความเดือดร้อนให้กับธุรกิจและผู้บริโภคอเมริกัน ถึงแม้จะไม่คาดหมายว่าเมื่อไบเดนชนะแล้ว จะมีการลดภาษีสินค้าจากจีนอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อใดที่มีการลดภาษี ค่าเงินหยวนอาจจะแข็งไปถึงระดับ 6.50 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เงินหยวนแข็งค่ามาโดยตลอด หากนับจากเดือน พ.ค. แข็งค่าแล้ว 6% “ซิม โมห์ ซิยง” นักวิเคราะห์ของแบงก์ ออฟ สิงคโปร์ บอกว่า เงินหยวนยังสามารถแข็งค่าขึ้นได้อีกเพราะเศรษฐกิจจีนกลับมาฟื้นตัวเร็วกว่าประเทศอื่น มีภาพรวมสดใสกว่าเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรป เป็นไปได้ที่จะแข็งค่าไปถึง 6.55 หยวนต่อดอลลาร์ภายใน 1 ปี

อย่างไรก็ตาม มีความเสี่ยงอยู่อย่างหนึ่งสำหรับเงินหยวนก็คือ หากข้อตกลงการค้าเฟส 1 ที่สหรัฐและจีนเซ็นไปก่อนหน้านี้เกิดล่มขึ้นมา ก็อาจทำให้เกิดข้อพิพาทด้านภาษีขึ้นมาใหม่ และจีนอาจตอบโต้ผ่านนโยบายค่าเงิน ดังจะเห็นได้จากเมื่อเร็ว ๆ นี้ธนาคารกลางจีนส่งสัญญาณไม่สบายใจต่อค่าเงินหยวนที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว