เปิด 55 เรื่อง “โจ ไบเดน” จากเด็กพูดติดอ่าง สู่ประธานาธิบดี สหรัฐฯ คนที่ 46

REUTERS/Brendan McDermid/File Photo
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2563
ปรับปรุงล่าสุด วันที่ 20 มกราคม 2564

 

ชีวิตทางการเมืองของ “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 46 ตัวแทนพรรคเดโมแครต ถือว่าน่าสนใจและได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ทั้งในฐานะที่เป็นวุฒิสมาชิกมานาน 36 ปี รวมถึงอีก 8 ปี ในฐานะสมาชิกฝ่ายบริหารของอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา

แต่อีกมุมหนึ่ง น้อยคนจะรู้ว่าชีวิตของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่นี้ ได้ผ่านเรื่องราวเลวร้ายแสนสาหัส ทั้งวัยเด็กที่ถูกเพื่อนล้อ เพราะพูดติดอ่าง รวมถึงการสูญเสียภรรยาและลูกน้อยจากอุบัติเหตุ ทั้งที่กำลังไปได้ดีกับชีวิตทางการเมือง

และต่อไปนี้คือ 55 เรื่อง ที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ เกี่ยวกับ “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ จากการรวบรวมของเว็บไซต์ Politico

1.ไบเดนใช้ชีวิตในวัยเด็กที่เมืองสแครนตัน รัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งเป็นที่ที่พ่อของเขาพยายามหางานที่มั่นคง หลังจากล้มเหลวทางธุรกิจหลายครั้ง

2.เมื่อไบเดนอายุได้ 10 ปี ครอบครัวของเขาย้ายไปที่เมืองวิลมิงตัน รัฐเดลาแวร์ หลังจากพ่อของเขาได้งานอาชีพขายรถยนต์ ครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ในบ้านที่มีเตียงนอนอยู่ 3 เตียง โดยที่เด็กชายสามคนในครอบครัวไบเดน ต้องใช้ห้องนอนร่วมกับน้าของพวกเขา ที่ชื่อ “เอ็ดวาร์ด เบลวิตต์ ฟินเนกัน” ซึ่งเป็นคนพูดติดอ่าง ทั้ง 4 คน ต้องนอนอัดกันบนเตียง 2 ชั้น

3.ตอนเป็นเด็ก “ไบเดน” มีอาการพูดติดอ่าง จนถูกเพื่อนร่วมชั้นล้อเลียน เขาต้องฝึกพูดอย่างหนัก ด้วยการคิดประโยคสนทนาไว้ในใจก่อน แล้วค่อยๆ พูด

4.ระหว่างเรียนที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาวิทยาลัยโรมันคาทอลิก เขาได้รับเลือกให้เป็นประธานชั้นเรียน แต่ผู้บริหารโรงเรียนสกัดดาวรุ่ง ด้วยการไม่ให้เขาลงสมัครรับเลือกตั้งประธานนักเรียน โดยให้เหตุผลว่าเขาถูกหักคะแนนหลายครั้ง

5. เขาเล่นในตำแหน่งไวด์รีซีฟเวอร์และฮาร์ฟแบคในทีมฟุตบอลของโรงเรียน และทำทัชดาวน์ได้ 19 ครั้ง

6.ขณะเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเดลาแวร์ เขาถูกภาคทัณฑ์ เนื่องจากเล่นพิเรนท์ ด้วยการใช้ถังดับเพลิงฉีดในหอพักผู้อำนวยการ

7.เขาพบกับภรรยาของเขา “นีเลีย ฮันเตอร์” ในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ประเทศบาฮามาส ระหว่างที่เขาเรียนปี 1 ในมหาวิทยาลัย

ภาพจาก www.nzherald.co.nz

8. ตอนที่ออกเดทกันเป็นครั้งที่ 2 “ไบเดน” มีเงินไม่พอจ่ายค่าอาหารในร้านอาหาร “นีเลีย” จึงแอบส่งเงิน 20 ดอลลาร์ให้เขา ใต้โต๊ะ

9. เมื่อเขาพบกับแม่ของ “นีเลีย” ครั้งแรก เธอถามเขาอยากทำงานอะไร แล้ว “ไบเดน” ก็ตอบว่า เขาอยากเป็น “ประธานาธิบดีสหรัฐ”

10. เขากับนีเลีย แต่งงานกันเมื่อปี 2509 ก่อนจะมีลูกชายชื่อ “โบ” ด้วยกัน ในปี 2512 ปีต่อมาจึงมีลูกอีกคนชื่อ “ฮันเตอร์” ตามด้วยลูกสาวคนสุดท้องชื่อ “นาโอมิ”

11. ปี 2510 ระหว่างที่ “ไบเดน” เรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยซีราคิวส์ เขาได้มอบลูกสุนัขให้ “นีเลีย” และตั้งชื่อมันว่า “ซีเนเตอร์” (วุฒิสมาชิก)

12. เขาถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารหลังเรียนจบกฎหมาย แต่ไม่ผ่าน เนื่องจากเป็นโรคหอบหืด เมื่อถูกถามว่าทำไมเขาจึงไม่ร่วมการประท้วงต่อน้านสงครามเวียดนาม เขาตอบว่า “ขณะที่คนอื่นออกไปประท้วง ผมไปทำงาน ได้รับเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ ตอนอายุ 29 ปี เพื่อเป็นหนึ่งในผู้ลงคะแนนเสียงให้หยุดสงคราม”

13.ในฐานะทนายของรัฐเดลาแวร์ เขาช่วยปกป้องชาวประมงอายุ 25 ปี ที่ขโมยโคพันธุ์โฮนสไตน์ฟรีเชี่ยน ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ

14. เขาอ้างว่า เคยได้รับสายจากคนที่มีแนวคิดเหยียดเชื้อชาติ โทรเข้ามาต่อว่าเรื่องที่เขาสนับสนุนโครงการที่อยู่อาศัยใน นิวคาสเซิล เคาน์ตี้ โดยปลายสายพูดว่า “คุณอยากให้พวกนั้นพักอยู่ใกล้คุณจริงๆ เหรอ” เมื่อได้ยินดังนั้น เขาเองก็รู้สึกช็อก แต่ก็ตอบไปว่า “ถ้าคุณไม่ยึดติดกับกรอบเดิมๆ ผมคิดว่าคำตอบก็คือ ใช่”

15. เมื่อปี 2515 เขาเอาชนะ “คาเล บ็อกส์” วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน จนกลายเป็น 1 ใน 5 วุฒิสมาชิกที่มีอายุน้อยที่สุดในสหรัฐฯ

16. หากได้รับการเลือกตั้งครั้งนี้ “ไบเดน” ซึ่งมีอายุ 77 ปี จะกลายเป็นประธานาธิบดีที่อายุมากที่สุด เท่าที่สหรัฐฯ เคยมีมา

17. บิดาของ “ไบเดน” เสียชีวิตขณะมีอายุ 86 ปี ส่วนแม่เสียอายุขณะมีอายุ 92 ปี

18. เพียงไม่กี่สัปดาห์ หลัง “ไบเดน” ได้รับเลือกเป็นวุฒิสมาชิก รถบรรทุกซังข้าวโพดได้พุ่งเข้าชนรถยนต์ ที่ภรรยาและลูกๆ ทั้ง 3 ของเขา ใช้เดินทางกลับบ้าน หลังจากไปรับต้นคริสต์มาส ตอนนั้น “นีเลีย” และ “นาโอมิ” ซึ่งมีอายุเพียง 13 เดือน เสียชีวิต ก่อนที่จะถึงโรงพยาบาล ส่วนลูกชายอีก 2 คน คือ “โบ” และ “ฮันเตอร์” ถูกนำส่งโรงพยาบาลในอาการสาหัส

19.เขาเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งวุฒิสมาชิก ระหว่างที่ “โบ” ลูกชายของเขายังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล

ภาพจาก www.huffpost.com

20. หลังอุบัติเหตุครั้งนั้น เขายังคงพักอยู่ที่บ้านในเมืองวิลมินตัน รัฐเดลาแวร์ และต้องเดินทางไป- กลับ จากบ้านไปที่ทำงานในรัฐวอชิงตัน ด้วยรถไฟแอ็มแทร็ก เที่ยวละ 75 นาที เช่นนี้ทุกวัน เป็นเวลานานกว่า 30 ปี จนเขาเรียกแอ็มแทร็กว่า “ครอบครัว” ทั้งยังเคยจัดงานเลี้ยงบาร์บีคิวให้กับพนักงานรถไฟที่บ้านของเขาด้วย

21. เมื่อปี 2517 เขาบอกกับผู้สื่อข่าวว่า เมื่อพูดถึงประเด็นต่างๆ เช่น การทำแท้ง เขายอมรับว่าไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจทำแท้ง เขาไม่คิดว่าผู้หญิงจะมีสิทธิ์ตัดสินใจเพียงลำพังว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเธอ ขณะที่เมื่อปี 2524 เขาโหวตแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อสนับสนุนเสรีภาพในการทำแท้ง ซึ่งสะท้อนว่าเขาได้เปลี่ยนจุดยืนมานับแต่นั้น

22. ในยุค 1970 “ไบเดน” คัดค้านคำสั่งศาล ที่ระบุให้ใช้รถโรงเรียนเพื่อลดการแบ่งแยกในโรงเรียนรัฐบาล เขากล่าวว่า เขาชอบวิธีการลดการแบ่งแยกแบบอื่นๆ มากกว่า และเขาอยากให้การโดยสารรถโรงเรียนเป็นไปตามความสมัครใจ

23. “ไบเดน” แต่งงานอีกครั้งในปี 2520 กับ “จิล เทรซี จาคอบส์” ครูชาวอังกฤษ ที่พบกันในนัดบอด ที่น้องชายของเขาเป็นธุระจัดการให้

REUTERS/Octavio Jones

24. ในฐานะคณะกรรมการตุลาการของวุฒิสภาพรรคเดโมแครต ในปี 2527 เขาได้พยายามขัดขวางไม่ให้ “เจฟฟ์ เซสชัน” อัยการรัฐแอละบามาในขณะนั้น เข้าพิจารณาคดีของรัฐบาลกลาง โดยกล่าวหาวา “เซสชัน” นั้น เหยียดเชื้อชาติ แต่ “เซสชัน” ปฏิเสธข้อกล่าวหา

25. “ไบเดน” เคยอ้างว่าตัวเองถูกยิงในอิรัก (แต่ต่อมาเขาชี้แจงว่า เขาอยู่ใกล้จุดที่มีการยิง) แถมยังเคยอ้างว่าเขาได้พบกับผู้รอดชีวิตจากเหตุกราดยิงในเมืองพาร์คแลนด์ รัฐฟลอริดา ระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี (ทั้งที่ความจริงแล้ว เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากเขาพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว) นอกจากนี้ ยังเคยบอกด้วยว่า เคยถูกจับ ระหว่างเข้าไปเยี่ยม “เนลสัน แมนเดลา” (ซึ่งต่อมาเขาแจ้งว่า เป็นแค่การควบคุมตัว)

26. เขาได้เป็นเจ้าของรถ เชฟโรเลต รุ่น คอร์เวต สติงเรย์ รุ่นปี 1967 โดยพ่อของเขาได้มอบให้เขาเป็นของขวัญแต่งงาน

27. ในการกล่าวสุนทรพจน์ช่วงทศวรรษ 1980 เขาพูดย้ำหลายครั้งว่าเขาได้เข้าร่วมการเดินขบวนเรียกร้องสิทธิพลเมือง แต่ไม่มีหลักฐานว่าเขาได้เข้าร่วมการเดินขบวนจริงหรือไม่ แม้ว่าเขาจะมีส่วนร่วมในการถือป้ายประท้วงเรื่องการแบ่งแยกเชื้อชาติ บริเวณนอกเมืองวิลมิงตัน ในช่วงยุค 1960

28. ในปี 2530 เขาลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นครั้งแรก แต่ได้ประกาศลาออกจากการแข่งขัน หลังมีการเปิดเผยว่าเขาลอกสุนทรพจน์ของ “เนล คินน็อก” หัวหน้าพรรคแรงงานชาวอังกฤษ

29. ปีเดียวกัน ในฐานะประธานคณกรรมการตุลาการ เขาเป็นผู้นำการคัดค้านการเสนอชื่อผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานศาลฎีกา “โรเบิร์ต บอร์ก” โดยเขาได้หลอกล่อให้ “บอร์ก” แสดงความเห็นทางการเมือง จนสุดท้าย “บอร์ก” ก็หลุดไปจากตำแหน่งนี้ ขณะที่นักประวัติศาสตร์บางคนเรียกว่า นี่คือจุดเริ่มต้นของยุคใหม่แห่งสงครามทางการเมืองในส่วนของตุลาการ

30. เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2531 หลังมีอาการปวดหัวอยู่หลายสัปดาห์ ไบเดนเข้ารับการผ่าตัดด้วยอาการของ “โรคหลอดเลือดสมองโป่ง” และเข้าผ่าตัดอีกครั้ง เพราะวินิจฉัยเจอโรคนี้อีกครั้ง 3 เดือนต่อมา

31. ในฐานะประธานคณะกรรมการตุลาการ ไบเดนเป็นประธานการรับรอง “คลาเรนซ์ โทมัส” เข้าสู่ศาลสูงสุดสหรัฐ ทั้งที่ “อนิตา ฮิลล์” เข้าเบิกความว่าคลาเรนซ์ล่วงละเมิดทางเพศเธอ ซึ่งไบเดนไม่รับฟังคำร้อง ขณะที่มีผู้หญิงหลายคนออกมาสนับสนุนคำให้การของฮิลล์ อย่างไรก็ตาม โทมัสได้เป็นผู้พิพากษาสูงสุดสหรัฐโดยสมาชิกวุฒิสภาด้วยผลโหวต 52 ต่อ 48

32. สำหรับการเตรียมตัวลงแข่งประธานาธิบดี ไบเดนรู้สึกผิดที่ไม่รับฟัง “อนิตา ฮิลล์” และกล่าวว่าเสียใจมากที่ไม่สามารถทำให้อนิตาเข้าสู่กระบวนการที่ยุติธรรมกว่านี้ อย่างไรก็ตาม อนิตาไม่มองคำพูดนี้ว่าเป็นคำขอโทษ

33. เมื่อปี 2534 ไบเดนและ สว.เดโมแครตคนอื่น ลงประชามติ ปฏิเสธการลงพื้นที่บังคับกองทัพอิรักออกจากประเทศคูเวต

34. ระหว่างการเที่ยวแถบคาบสมุทรบอลข่าน เมื่อปี 2536 ไบเดนได้เข้าพบกับ “สโลโบดาน มิโลเซวิค” ผู้นำเซอร์เบีย และได้พูดต่อหน้าเขาว่าเป็น “อาชญากรก่อสงคราม” แต่หลังจากนั้น การพูดคุยเป็นไปอย่างสันติ

ภาพจาก https://th.wikipedia.org/

35. เมื่อปี 2537 ไบเดนเป็นหนึ่งในผู้ร่วมร่างกฏหมาย “Violent Crime Control and Law Enforcement Act” ซึ่งทำให้บทลงโทษในเรือนจำ มีมาตรการกักขังที่หนักขึ้น ซึ่งถูกวิจารณ์ว่ามุ่งเป้ากักขังคนกลุ่มอเมริกันผิวสี

36. ไบเดนร่วมเป็นสปอนเซอร์ร่างกฏหมาย “Violence Against Women Act” กฏหมายปกป้องความรุนแรงต่อผู้หญิงกับ สว.รีพับลิกัน “ออร์ริน แฮทช์” จากรัฐยูทาห์ ซึ่งกฏหมายนี้สนับสนุนเงิน 1.6 พันล้านดอลลาร์ เพื่อใช้ในการสืบสวนและลงโทษคดีที่ใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิง บังคับการชดใช้ต่อผู้กระทำผิด และอนุญาตให้เหยื่อสามารถฟ้องร้องในศาลแพ่ง ถึงแม้จะยังไม่ได้ผ่านกระบวนการสืบสวน

37. ไบเดนโหวตให้อเมริกาทำสงครามกับอิรักเมื่อปี 2545 และอยู่ที่ทำเนียบขาวตอนที่ “จอร์จ บุช” เซ็นรับรองเข้ารบ ซึ่งไบเดนยอมรับภายหลังว่าการโหวตรับรองเป็นสิ่งที่ผิดพลาด

38. ไบเดนเป็นที่รู้จักในรัฐสภาสหรัฐว่า เป็นคนที่ใช้เวลาการพูดช้าและนานมาก และ “บารัก โอบาม่า” เคยพูดเป็นมุขว่า “ยิง ฉัน ที” ตอนที่ไบเดนพูดนาน

39. ไบเดนสนิทสนมกับ “จอห์น แมคเคน” อดีต สส.รัฐแอริโซนา ตั้งแต่ตอนเป็นทหารเรือ จนเข้ามาเป็นสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐ ซึ่งไบเดนและภรรยา “จิล ไบเดน” ได้อยู่กับแมคเคนที่ฮาวายเมื่อปี 2522 จุดที่เขาได้พบกับภรรยาในอนาคต “ซินดี้” โดยทั้งสองคนเป็นคนบอกให้แมคเคนเข้าไปพูดคุยกับ “ซินดี้” 

40.แมคเคนขอให้ไบเดนกล่าวบทยกย่องในงานศพของเขาเมื่อปี 2561

41. ไบเดนไม่สูบบุหรี่และกินเหล้า และจัดว่าพฤติกรรมเหล่านั้นไม่ดี พร้อมกับกล่าวว่าชอบเล่นอเมริกันฟุตบอล ขี่มอเตอร์ไซค์ และเล่นสกีเนื่องจากชอบการที่สามารถ “ควบคุมร่างกายตัวเองได้”

42. เมื่อปี 2551 ไบเดนลงสมัครชิงประธานาธิบดีเป็นครั้งที่สอง แต่ถอนตัวหลังเข้ามาเป็นที่ 5 ของคองเกรสรัฐไอโอวา 7 เดือนต่อมา โอบามาก็เลือกไบเดนเป็นรองประธานาธิบดี

43. งานเทศกาลเบียร์เมื่อปี 2552 ที่ทำเนียบขาว ไบเดนดื่ม “บัคเลอร์” เครื่องดื่มปลอดแอลกอฮอลล์ของไฮเนเก้น

44. ไบเดนทำให้โอบามาโกรธมาก ตอนที่ออกแถลงการณ์ว่าสนับสนุนการแต่งงานเพศเดียวกัน ระหว่างที่โอบามากำลังหาเสียงเมื่อปี 2555

45.เมื่อต้นปี 2557 หลังจากรัสเซียเข้ายึดเมืองไครเมียจากยูเครน ไบเดนได้กลายเป็นผู้นำดูแลเรื่องประเทศแถบยุโรปตะวันออกอย่างยูเครน ซึ่งทำให้ทางการรัสเซียไม่พอใจอย่างมาก

46. เมื่อเดือน พ.ค. 2557 ลูกชายคนเล็กของไบเดน “ฮันเตอร์” ได้เป็นหนึ่งในสมาชิกบอร์ดบริหารบริษัทบูริสมา โฮลดิงส์ (Burisma Holdings) บริษัทเอกชนผลิตแก๊สธรรมชาติยักษ์ใหญ่ของยูเครน ซึ่งฮันเตอร์มีรายได้ถึง 50,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ตลอด 5 ปีที่เขาดำรงตำแหน่ง

47. “โบ ไบเดน” ลูกชายคนโตของ โจ ไบเดน เสียชีวิตจากมะเร็งสมองเมื่อปี 2015

ภาพจาก https://en.wikipedia.org/

48. เมื่อปี 2557 ไบเดนถูกจัดลำดับเป็นหนึ่งในผู้ที่ทำงานให้กับรัฐบาลที่ “จนที่สุด” ของสหรัฐ ไบเดนอยู่ที่ลำดับ 577 จากทั้งหมด 581 คน

49. ไบเดนคิดจะลงสมัครเป็นประธานาธิบดีเมื่อปี 2559 แต่โอบามาไม่อยากให้ไบเดนลงสมัคร เนื่องจากเขาเชื่อว่า “ฮิลลารี คลินตัน” จะมีสิทธ์ชนะฝั่งรีพับลิกันมากกว่า

50. โจ และ ภรรยา จิล ไบเดน มีรายได้รวมกันทั้งหมด 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2560 และ 2561

51. ภาพยนตร์โปรดของไบเดนคือเรื่อง “แชริออตส์ ออฟ ไฟร์” (Chariot of Fire)

52. ไบเดนชอบกินไอศกรีมมากๆ

53. ไบเดนเคยท้าแข่งมวยปล้ำกับนักข่าว

54. ไบเดนชื่นชอบรถยนต์มาก และตั้งค่าไว้ให้มีการแจ้งเตือนจากนิตยสาร “คาร์แอนด์ไดรเวอร์” (Car and Driver) ให้ส่งไปยังมือถือ

55. ก่อนหน้าการเลือกตั้งปีนี้ ไบเดนไม่เคยชนะการเสนอชื่อเป็นประธานาธิบดีในช่วงเวลา 32 ปี และการพยายามถึง 3 ครั้งที่ผ่านมา แต่การเลือกตั้งครั้งนี้เขาชนะการเสนอชื่อภายในรัฐถึง 11 แห่ง