ธุรกิจกัญชาสหรัฐบูม หุ้นขาขึ้น-รายได้พุ่ง

ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ “กัญชา” (cannabis) กำลังเติบโตและได้รับความสนใจอย่างมากในสหรัฐอเมริกา ขณะที่มีหลาย ๆ บริษัทก็จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯทำให้กลายเป็นหุ้นที่นักลงทุนให้ความสนใจ พร้อมกับผลประกอบการที่ดีเยี่ยม ทำให้มีแนวโน้มว่าหลายธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกัญชาจะเติบโตมากขึ้นในปีนี้

สำนักข่าวเดอะ โมท์ลี่ ฟูล รายงานว่า บริษัทที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมกัญชาของสหรัฐ 3 บริษัท ที่ได้รับอานิสงส์จากเทรนด์กัญชาที่กำลังบูมขึ้นอย่างมาก เริ่มตั้งแต่บริษัท “เครสโค แลบส์” (Cresco Labs) ผู้ค้าส่งผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับกัญชารายใหญ่ที่สุดในสหรัฐ ครองส่วนแบ่งตลาดถึง 60% ในสหรัฐอเมริกา โดยเป็นผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าแปรรูปมาจากกัญชาแบรนด์ต่าง ๆ อย่าง “เรเมดี” (Remedi) สารสกัดจากกัญชา ประกอบไปด้วย ทิงเจอร์, แคปซูล และน้ำมันอาร์เอสโอ (rick simpson oil) ไปจนถึง “มินดีส์” (Mindy’s) แบรนด์ขนมและอาหารที่มีส่วนผสมของกัญชา รวมถึงผลิตภัณฑ์สำหรับการสูบกัญชาอย่าง “ตลับปากกา” (Vape Pen) ไปจนถึงสายพันธุ์กัญชาคัดเฉพาะจากนักปลูกระดับต้น ๆ ของประเทศ

บิสซิเนสไวร์รายงานว่า รายได้ของบริษัท เครสโค แลบส์ เมื่อไตรมาส 3/2020 อยู่ที่ 153.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (4.6 พันล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 59 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 63% ซึ่งเป็น 3 ไตรมาสติดต่อที่บริษัทมีรายได้เพิ่มเติบโตมากกว่า 40%

นอกจากนี้ บริษัทยังมีร้านขายยาชื่อ “ซันนี่ไซต์” สำหรับการจำหน่ายผลิตภัณฑ์กัญชาเพื่อใช้งานทางการแพทย์ (ลูกค้าอายุ 18 ปีขึ้นไป) โดยขณะนี้เปิดบริการแล้วทั้งหมด 29 สาขาใน 6 รัฐ โดยมี 3 รัฐที่สามารถจำหน่ายกัญชาให้กับผู้ใหญ่ (อายุ 21 ปีขึ้นไป) สำหรับใช้เพื่อสันทนาการ นอกจากนี้ บริษัทกำลังจะขยายสาขาเพิ่มโดยการเข้าซื้อบริษัทค้าปลีกกัญชา “บลูม่า เวลล์เนสส์” (Bluma Wellness) ที่รัฐฟลอริดา ซึ่งเป็นรัฐที่ตลาดผลิตภัณฑ์กัญชากำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว

ปัจจุบัน “เครสโค แลบส์” บริษัทจดทะเบียนอยู่ที่ตลาดหลักทรัพย์แคนาดา (CSE) โดยยังไม่สามารถเข้าตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐได้ เนื่องจากกัญชายังคงผิดกฎหมายในระดับรัฐบาลกลางของประเทศ แต่หากกัญชาถูกกฎหมายเมื่อไร มีการคาดการณ์ว่ามูลค่าหุ้นของบริษัทจะพุ่งขึ้นอย่างมาก

สำหรับบริษัทต่อมาคือ “โกรว์เจเนอเรชั่น” (GrowGeneration) เป็นผู้จำหน่ายอุปกรณ์และระบบการปลูกพืชแบบใช้สารละลายธาตุอาหาร (hydroponics) และการปลูกพืชออร์แกนิกสำหรับการปลูกกัญชาโดยเฉพาะ เรียกว่าบริษัทขายผลิตภัณฑ์ทุกอย่างเพื่อรองรับการปลูกกัญชา

โดยช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเริ่มมีจำนวนผู้ปลูกกัญชามากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นของการปลูกกัญชา จึงมองว่าความต้องการซื้ออุปกรณ์และระบบเพื่อปลูกกัญชาจากบริษัทมีอีกจำนวนมาก ปัจจุบัน “โกรว์เจเนอเรชั่น” มีร้านค้าปลีก 50 สาขาภายใน 11 รัฐของประเทศ

นอกจากนี้ บริษัทเข้าซื้อกิจการ “แซนดิเอโก้ ไฮโดรไพนิกส์ แอนด์ ออร์กานิกส์” ซึ่งตั้งอยู่รัฐแคลิฟอร์เนีย และเป็นรัฐที่มีนักปลูกกัญชามากที่สุดในประเทศ เพื่อขยายตลาดและการเติบโต

และจะทำให้มูลค่าหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แนสแดค (NASDAQ) มีแนวโน้มสูงขึ้นด้วย

โดยบริษัทแจ้งว่าปี 2020 ที่ผ่านมามีรายได้ 192 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (5.8 พันล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 140% และคาดการณ์ว่ารายได้ปีนี้จะอยู่ที่ราว 335-350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.01-1.06 หมื่นล้านบาท) หรือเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วประมาณ 78%

และอีกบริษัทที่กำลังโด่งดัง “อินโนเวทีฟ อินดัสเตรียล พร็อพเพอร์ตี้” (IIPR) เป็นทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) สำหรับอุตสาหกรรมกัญชาเพื่อการแพทย์ในสหรัฐโดยเฉพาะ เป็นช่องทางการระดมทุนให้กับผู้ประกอบการที่มีใบอนุญาตปลูกกัญชา วิธีการคือให้ผู้ประกอบการนำอสังหาริมทรัพย์ที่จะปลูกกัญชาขายเข้ากองรีท ก่อนที่ทางบริษัทจะให้ผู้ประกอบการเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นต่อไป

เมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้ 116.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (3.5 พันล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 262% ปัจจุบันบริษัทมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (dividend yield) อยู่ที่ 2.3% และคาดว่าปีนี้อัตราการจ่ายปันผลจะเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 58%

โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการปลูกกัญชาขายทรัพย์สินเข้ามาในกองรีทเพิ่มอีก 24 แห่ง ทำให้ตอนนี้บริษัทมีอสังหาริมทรัพย์ที่ปล่อยให้ผู้ประกอบการปลูกกัญชาเช่าทั้งหมด 67 แห่ง และหากรัฐบาลกลาง “ปลดล็อก” กฎหมายกัญชา ก็คาดว่าจะยิ่งทำให้อุตสาหกรรมนี้ขยายตัวอย่างร้อนแรง