เปิด 3 ปัจจัยหนุนปี 67 ดันการลงทุน ‘คริปโต’ คึกคัก

ปี 2567 ดูจะเป็นปีที่สดใสสำหรับนักลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลและคริปโตเคอร์เรนซี เห็นได้จากราคาของเหรียญหลายๆ สกุลเริ่มฟื้นกลับมา หลังจากอยู่ในภาวะตลาดหมีราว 1-2 ปี โดยเฉพาะเหรียญเจ้าตลาดอย่าง ‘บิตคอยน์’ (Bitcoin) ที่ทำสถิตินิวไฮราคาทะลุ 72,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2.6 ล้านบาท) ไปเมื่อเดือน มีนาคม ที่ผ่านมา ถือเป็นสัญญาณที่สะท้อนว่าลมหนาวของ ‘Crypto Winter’ ได้พัดผ่านไปแล้ว และการลงทุนในตลาดคริปโตเคอร์เรนซีน่าจะกลับมาคึกคักอยู่ไม่น้อย อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ดูเหมือนจะมีหลายปัจจัยที่หนุนการลงทุนในตลาดคริปโตเคอร์เรนซี โดยบทความนี้จะพาไปสำรวจ 3 ปัจจัยหลักที่ส่งแรงหนุนไปพร้อมๆ กัน

1.ปรากฏการณ์ Bitcoin Halving

Bitcoin Halving นับเป็นปรากฏการณ์สำคัญในวงการคริปโตเคอร์เรนซี ที่เกิดขึ้นทุกๆ 4 ปี (อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ ‘Bitcoin Halving คืออะไร ทำไมมีผลต่อราคา Bitcoin ?’) อีกทั้งเป็นหนึ่งในตัวแปรกำหนดราคาบิตคอยน์เช่นเดียวกัน โดยมีสถิติที่น่าสนใจคือ เมื่อเกิด Bitcoin Halving ราคาบิตคอยน์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เช่น ในปี 2555 ราคาเพิ่มขึ้นประมาณ 8,000% ในช่วง 12 เดือน และเพิ่มขึ้นเกือบ 1,000% หลังจากเกิด Halving ในปี 2559 ส่วน Halving ครั้งล่าสุดในเดือน พ.ค. 2563 ทำราคาบิตคอยน์แตะเกือบ 69,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในเดือน พ.ย. 2564 

อย่างไรก็ตามจากการคำนวณระยะเวลาการเกิด Bitcoin Halving มีการคาดการณ์ว่า ครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นอีกครั้งในช่วงปลายเดือน เม.ย. 2567 เป็นเหตุให้หลายฝ่ายต่างเชื่อว่าช่วงเวลาดังกล่าวจะเกิดความต้องการถือครองบิตคอยน์ก่อตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และส่งผลให้ราคาบิตคอยน์ในตลาดสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

2.การมาของ Bitcoin ETF

ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ของสหรัฐอเมริกา (SEC) ได้อนุมัติให้สามารถซื้อขายสินทรัพย์ผ่าน ‘Bitcoin ETF’ หรือกองทุนที่สามารถซื้อขายได้ในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยมีบิตคอยน์เป็นสินทรัพย์หลักประกัน มีโอกาสรับผลตอบแทนตามดัชนีอ้างอิง ถือเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับนักลงทุนรายย่อยที่ต้องการลงทุนในบิตคอยน์ แต่ไม่อาจรับความเสี่ยงหรือความผันผวนของราคาได้ ที่น่าจะมีอีกเป็นจำนวนมาก

ปัจจุบัน ก.ล.ต. สหรัฐฯ อนุมัติให้มีการซื้อขายผ่าน Spot Bitcoin ETF ทั้งสิ้น 11 กองทุน ได้แก่ Grayscale Bitcoin Trust GBTC, Bitwise Bitcoin ETF, Hashdex Bitcoin ETF, Blackrock’s iShares Bitcoin Trust, Valkyrie Bitcoin Fund, ARK 21Shares Bitcoin ETF, Invesco Galaxy Bitcoin ETF, VanEck Bitcoin Trust, WisdomTree Bitcoin Fund, Fidelity Wise Origin Bitcoin Fund และ Franklin Bitcoin ETF คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

และหลังจากการซื้อขายผ่าน Spot Bitcoin ETF เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ ‘BlackRock’ บริษัทด้านการลงทุนรายใหญ่ของโลกได้เข้าซื้อและถือบิตคอยน์ไว้เป็นมูลค่า 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ แซงหน้าแชมป์เก่าที่รั้งตำแหน่งมานานอย่าง ‘MicroStrategy’ ผู้พัฒนาและให้บริการซอฟต์แวร์ ที่ถือบิตคอยน์อยู่ราว 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ณ 19 มี.ค. 2567)

ทั้งนี้หลายฝ่ายยังคาดการณ์ว่ามีความเป็นไปได้ที่ ก.ล.ต. ของสหรัฐฯ จะอนุมัติการลงทุนผ่าน Ethereum ETF หรือกองทุน ETF ที่ใช้ ‘อีเธอเรียม’ (Ethereum) เหรียญที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับสองรองจากบิตคอยน์เป็นสินทรัพย์ค้ำประกันในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ด้วย และน่าจะทำให้การลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีคึกคักมากกว่าเดิม

3.การปลดล็อกข้อจำกัดในไทย

นอกจากฟากฝั่งสหรัฐฯ จะมีการขยับปรับเปลี่ยนกฎเพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับนักลงทุนรายย่อยที่ต้องการลงทุนในบิตคอยน์ ด้านประเทศไทยเองก็ไม่น้อยหน้า เพราะภาครัฐและหน่วยงานกำกับดูแลมีมาตรการและนโยบายที่ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัลของภูมิภาค (Digital Asset Hub) เช่น การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Broker) และผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Dealer) ที่ได้รับใบอนุญาตในประเทศไทย

อีกทั้งคณะกรรมการ ก.ล.ต. ยังมีมติเห็นชอบปรับหลักเกณฑ์ให้นักลงทุนรายใหญ่พิเศษ (Ultra High Net Worth) และนักลงทุนสถาบัน สามารถลงทุนใน Spot Bitcoin ETF ผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ได้ เนื่องจาก ก.ล.ต. มองว่าเป็นกลุ่มนักลงทุนที่มีความสามารถในการรับความเสี่ยงได้สูง

แน่นอนว่าทั้ง 3 ปัจจัยหนุนที่ได้กล่าวมานั้นคงสร้างความคึกคักให้กับการลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีในไทยอยู่ไม่น้อย เห็นได้จากการโหมทำแคมเปญกระตุ้นการลงทุนของผู้ให้บริการรายต่างๆ แต่ที่เขย่าวงการสินทรัพย์ดิจิทัลมากที่สุดคงหนีไม่พ้น การเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ Binance TH by Gulf Binanceแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลรายใหม่ของประเทศไทย 

ที่เกิดจากการผนึกกำลังของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงาน ‘Gulf Energy’ และยักษ์ใหญ่ด้านคริปโตเคอร์เรนซี ‘Binance’ ซึ่งเปิดให้ทำการซื้อขายในไทยแล้วตั้งแต่เดือน ม.ค. 2567 ที่ผ่านมา เรียกได้ว่ามาได้ทันเวลาพอดีในช่วงตลาดกระทิงที่กำลังจะเกิดขึ้น แม้จะเป็นแพลตฟอร์มน้องใหม่แต่เชื่อได้เลยว่า ‘Binance TH by Gulf Binance’ พร้อมเปิดศึกช่วงชิงผู้นำตลาด ทั้งในแง่จำนวนผู้ใช้ และปริมาณการซื้อขาย ได้อย่างดุเดือดไม่แพ้อากาศเมืองไทยแน่นอน