‘ลอรีอัล กรุ๊ป’ ปักธงบริษัทความงามแห่งความยั่งยืนระดับโลก

หลังจากที่ UN ประกาศเข้าสู่ภาวะโลกเดือด สิ่งแวดล้อมที่วิกฤติก่อนหน้า ทวีผลกระทบขึ้นหลายเท่าทวีคูณ ตามด้วยภัยพิบัติทางธรรมชาติ สภาพอากาศ ความแห้งแล้ง ความมั่นคงทางอาหาร และปัญหาสุขภาพ

นำมาสู่การประชุม COP28 โดยประเทศผู้เข้าร่วมประชุมเห็นพ้องถึงความสำคัญของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อป้องกันไม่ให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงไปกว่า 1.5 องศาเซลเซียส รวมถึงเร่งผลิตพลังงานหมุนเวียนให้เป็น 3 เท่าภายในปี 2030

หลายภาคส่วนตื่นตัวคิดหาแนวทางเพื่อช่วยกู้วิกฤติโลกเดือด รวมถึง ‘ลอรีอัล กรุ๊ป’ ในฐานะบริษัทความงามอันดับหนึ่งของโลกที่ปักหมุดหมายการเป็นธุรกิจพัฒนาผลิตภัณฑ์ความงามภายใต้วิสัยทัศน์ความยั่งยืนระดับโลกตั้งแต่ปี 2013

แบรนด์ที่ตระหนักวิกฤตโลกร้อนเป็นอันดับต้นๆ

ADVERTISMENT

ย้อนไปเมื่อปี 2001 รายงานการประเมินของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ เตือนว่า ภาวะโลกร้อนรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับตั้งแต่ยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้าย มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้มาก และจะมีผลกระทบที่จะสร้างความเสียหายอย่างมากในอนาคต

ในปี 2005 พิธีสารเกียวโตมีผลบังคับใช้ ประเทศอุตสาหกรรมหลักเกือบทุกประเทศลงนามรับรองจนหมด ในปีนั้นเอง ‘ลอรีอัล กรุ๊ป’ ได้ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงงาน และศูนย์กระจายสินค้าของบริษัทได้ถึง 81% มากกว่าเป้าหมาย 60% ขณะที่ปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นถึง 29%

ADVERTISMENT

ความสำเร็จของการลดปริมาณผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในโรงงานและศูนย์กระจายสินค้าในเวลานั้น เป็นผลมาจากการตระหนักถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมตั้งแต่แรกเริ่มในฐานะของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และยังถือเป็นก้าวแรกก้าวสำคัญของการเริ่มกระบวนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ตั้งแต่นั้น

อีก 2 ปีต่อมา ลอรีอัลได้ออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นครั้งแรก ตั้งแต่กระบวนการออกแบบไปจนถึงการรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์หลังจากใช้หมดแล้ว อาทิ ปรับให้มีน้ำหนักเบาเพื่อลดใช้ทรัพยากร เปลี่ยนใช้วัสดุที่มาจากการนำกลับมาหมุนเวียน ฯลฯ

ทำให้ปี 2020 ลอรีอัลมีบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล 100% เมื่อใช้หมดแล้วก็สามารถนำไปรีไซเคิลได้ 100% อาทิ ขวดแชมพู Elseve จากลอรีอัล ปารีส, ขวดไมเซล่า วอเตอร์ จากการ์นิเย่, ขวดคาแลนดูล่า โทนเนอร์ จากคีลส์ และ 96% ของผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือผลิตภัณฑ์ที่ปรับสูตรใหม่ ได้รับการปรับปรุงให้มีผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมที่ดีขึ้น

เดือนพฤษภาคมปีนั้น ลอรีอัลยังได้เปิดตัวนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์รุ่นใหม่ที่มีการนำกระดาษแข็งมาใช้ ทำให้ลดปริมาณการใช้พลาสติกได้มากกว่าหลอดบรรจุภัณฑ์พลาสติกทั่วไป โดยในปี 2022 มีการพัฒนาบรรจุภัณฑ์และหลอดรุ่นที่ 2 สำหรับแบรนด์ La Roche-Posay ซึ่งมีจำหน่ายในประเทศไทย ซึ่งลดปริมาณการใช้พลาสติกลงถึง 75% เมื่อเทียบกับบรรจุภัณฑ์แบบหลอดมาตรฐานทั่วไป

ระหว่างปี 2022-2023 ลอรีอัลยังคงเดินหน้าปรับปรุงกระบวนการและผลิตภัณฑ์อย่างไม่หยุดยั้ง เป็นต้นว่า ผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นหรือปรับปรุงใหม่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้นถึง 97%, 98% ของกระดาษที่ใช้สำหรับใบปลิวผลิตภัณฑ์ และ 99.9% ของกระดาษที่ใช้สำหรับกล่องบรรจุผลิตภัณฑ์ได้รับการรับรองว่ามาจากป่าไม้ที่มีการจัดการอย่างยั่งยืน

26% ของบรรจุภัณฑ์พลาสติกมาจากการรีไซเคิลหรือแหล่งวัตถุดิบชีวภาพ 100% แล้ว, 85% ของบรรจุภัณฑ์พลาสติก PET ที่ลอรีอัลใช้ทั่วโลกมาจากการรีไซเคิล 100% เช่นกัน

ปักหมุดแผนดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานความยั่งยืน ‘L’Oréal For The Future’

ย้อนไปเมื่อปี 2013 ลอรีอัลได้เปิดตัววิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนระดับโลกครั้งแรก ตั้งเป้าหมายสำหรับปี 2020 ภายใต้ชื่อโปรแกรม ‘แบ่งปันความงามให้ทุกสรรพสิ่ง’ หรือ ‘Sharing Beauty With All’ โดยมีแกนหลักเป็นนวัตกรรม ‘SPOT’ (Sustainable Product Optimization Tool) ซึ่งเป็นเครื่องมือประเมินเพื่อพัฒนาความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์ โดยประเมินและปรับปรุงประสิทธิภาพด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมของผลิตภัณฑ์ทุกแบรนด์

ลอรีอัลยังเป็น 1 ใน 100 บริษัทแรกที่กำหนดเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกทางวิทยาศาสตร์ (Science Based Targets) ในปี 2030 จะต้องปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้สอดคล้องตามเป้าหมายควบคุมอุณหภูมิโลกให้เพิ่มไม่เกิน +1.5 องศาเซลเซียส หรือจะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากผลิตภัณฑ์ต่อชิ้นลง 50% ตลอดห่วงโซ่มูลค่า เมื่อเทียบกับปี 2016

เป้าหมายดังกล่าวจะถูกขับเคลื่อนผ่านโปรแกรมเพื่อความยั่งยืน “L’Oréal For The Future” เริ่มจากในปีหน้า ไซต์งานทั้งหมดจะใช้พลังงานหมุนเวียน 100% เป็นการก้าวขยับจากปี 2023 ที่มีอาคารไซต์งานทั้งหมดทั่วโลกใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ได้ถึง 79% รวมไปถึงบรรจุภัณฑ์พลาสติกทั้งหมด 100% จะสามารถใช้เติมซ้ำ นำกลับมาใช้ใหม่ นำไปรีไซเคิลหรือย่อยสลายได้

ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของทิศทางการสร้างความงามที่ขับเคลื่อนโลก ตามแนวทางการบริหารบนหลักของความยั่งยืนที่ ‘ลอรีอัล กรุ๊ป’ ลงมือทำอย่างจริงจังและต่อเนื่อง จนกว่าการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้น สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ไปด้วยกัน