BDE เดินหน้าพัฒนาเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ แบบจำลอง MODEST วิเคราะห์ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและประเมินผลนโยบายดิจิทัล ขับเคลื่อนเศรษฐกิจแห่งอนาคต

จากการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ BDE เปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจดิจิทัล ปี 2567 ขยายตัว 5.7% คิดเป็นมูลค่ารวม 4.44 ล้านบาท ซึ่งอัตราการขยายตัวดังกล่าวอยู่ในระดับสูงถึงราว 2.2 เท่าของ GDP ในภาพรวมของประเทศ สะท้อนพัฒนาการของเทคโนโลยีดิจิทัลที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ การพัฒนาของเทคโนโลยีดิจิทัลอันรวดเร็วได้ส่งผลกระทบในด้านบวกต่อประเทศหลากหลายประการ อาทิ การเกิดขึ้นของโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ การเพิ่มช่องทางในการลดต้นทุนทางธุรกิจ หรือการเพิ่มผลิตภาพและความยืดหยุ่นในการทำงาน เป็นต้น แต่ก็อาจส่งผลในแง่ลบในบางลักษณะเช่นกัน อาทิการโจมตีทางไซเบอร์ การหลอกลวงออนไลน์ที่เพิ่มจำนวนขึ้น การละเมินข้อมูลส่วนบุคคล ไปจนถึงการสูญเสียโอกาสหรือความสามารถในการแข่งขันของกลุ่มคนที่เข้าไม่ถึงการใช้ประโยชน์เทคโนโลยีดิจิทัลในปัจจุบัน

ด้วยเหตุนี้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) โดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัล
เพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (BDE) ได้เล็งเห็นความจำเป็นในการวัดผลกระทบเศรษฐกิจและสังคมจากการเติบโตของเทคโนโลยีดิจิทัล จึงได้จัดทำการศึกษา โครงการสู่การพัฒนาการวิเคราะห์ภูมิภาคอาเซียน การพัฒนาแบบจำลอง MODEST เพื่อวัดผลกระทบของดิจิทัลต่อความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการพัฒนาเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์เพื่อใช้ในการประเมินผลกระทบของนโยบายดิจิทัลต่อภาคเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำด้านดิจิทัลของประเทศไทย

สำหรับเครื่องมือเพื่อใช้ในการประเมินผลกระทบของนโยบายดิจิทัลดังกล่าว ได้แก่ แบบจำลอง Ministry of Digital Economy and Society of Thailand (MODEST) และแบบจำลอง Micro-MODEST ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากนโยบายดิจิทัล ควบคู่ไปกับการแสดงภาพการเปลี่ยนแปลงของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำด้านดิจิทัล 

ADVERTISMENT

ดร.เวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้กล่าวถึงที่มาของโครงการฯ ว่า โครงการนี้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้เสนอที่ประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล (The ASEAN Digital Ministers Meeting: ADGMIN) ให้ความเห็นชอบในการประชุมครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 27 – 28 มกราคม 2565 โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะพัฒนาเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์เพื่อใช้ในการประเมินผลกระทบของนโยบายดิจิทัลต่อระบบเศรษฐกิจ และวัดสถานภาพด้านความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลของประเทศไทย เพื่อเป็นแบบจำลองนำร่องสำหรับการพัฒนาแบบจำลองลักษณะเดียวกันนี้ต่อในอนาคต

ADVERTISMENT

ในด้านข้อมูลระดับความเหลื่อมล้ำด้านดิจิทัลของประชาชน วัดจากระดับการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล (access) ระดับความสามารถในการจ่ายเพื่อให้ได้มาซึ่งเทคโนโลยีดิจิทัล (affordability) และระดับทักษะดิจิทัล (ability) ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเหลื่อมล้ำด้านดิจิทัลของประชาชน ในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อการทำงาน หรือสร้างรายได้ให้กับประชาชน

สำหรับข้อมูลหลักที่ใช้ในการจัดทำแบบจำลองระดับมหภาค “MODEST Model” ประกอบด้วย ตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิตดิจิทัลจากสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (BDE) บัญชีรายได้ประชาชาติจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NESDC) และข้อมูลรายได้จากภาษีจากกรมสรรพากร กรมศุลกากร และกรมสรรพสามิต 

ขณะที่ “Micro-MODEST Model” ซึ่งเป็นแบบจำลองระดับจุลภาค ใช้ข้อมูลจาก Thailand Digital Outlook การสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคม การสำรวจแรงงาน และสำมะโนอุตสาหกรรมและธุรกิจ รวมถึงข้อมูลจากแบบสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัล ด้วยความร่วมมือจากหลายภาคส่วนและการพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง แบบจำลองนี้ จะสามารถรองรับการวิเคราะห์ผลกระทบเชิงนโยบายในมิติที่หลากหลาย ทั้งในด้านการค้าเสรี การไหลเวียนทางดิจิทัล และปัจจัยเชิงภูมิภาคอื่น ๆ ได้อีกด้วย

BDE ได้เปิดเผยผลการศึกษาเชิงเทคนิคในการทดลองประเมินผลลัพธ์ของนโยบายด้านดิจิทัลผ่านฉากทัศน์ 3 รูปแบบ ประกอบด้วย 

ฉากทัศน์ 1 การเพิ่มการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลของครัวเรือน 1.2 ล้านครัวเรือนในกลุ่มยากจนที่สุดของประเทศ ที่ขาดแคลนอุปกรณ์ดิจิทัลและการเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตในปัจจุบัน เพื่อให้มีอุปกรณ์และการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตจนสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลได้ 

ฉากทัศน์ 2 การเพิ่มทักษะดิจิทัลของแรงงาน จำนวน 6.97 ล้านคนในกลุ่มครัวเรือนในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย เพื่อให้สามารถนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ประโยชน์ในการทำงานที่ตนเองทำอยู่ 

ทั้งนี้ ผลการวิเคราะห์แบบจำลอง ในฉากทัศน์ 1 และ 2 ชี้ให้เห็นว่า การขยายการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลและการพัฒนาทักษะดิจิทัลอย่างทั่วถึง สามารถลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ พร้อมกับเพิ่มการเติบโต
ทางเศรษฐกิจได้ ถึงแม้ว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในฉากทัศน์ทั้งสองอาจไม่สูงมากนัก (GDP เติบโตร้อยละ 0.26 และ 0.22 ตามลำดับ) แต่ในความเป็นจริง สถานการณ์ภายใต้ฉากทัศน์ทั้งสอง มีโอกาสที่จะสร้างการเติบโตได้มากขึ้น เพราะทั้งการขยายการเข้าถึงเทคโนโลยีและการพัฒนาทักษะดิจิทัล สามารถเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของเศรษฐกิจโลกได้

ฉากทัศน์ 3 การเพิ่มการลงทุนในอุตสาหกรรมดิจิทัล เพื่อให้เกิดการเติบโตของมูลค่าอุตสาหกรรมที่
ร้อยละ 12 ตามเป้าหมายของนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
(พ.ศ. 2561-2580) ฉบับปรับปรุง

โดยเมื่อพิจารณาจากผลการวิเคราะห์แบบจำลองในฉากทัศน์ 3 พบว่า หากมีการลงทุนในภาคเศรษฐกิจดิจิทัลที่ทำให้มูลค่าอุตสาหกรรมดิจิทัลของไทยเติบโต ร้อยละ 12 โดยที่การเข้าถึงเทคโนโลยีและทักษะดิจิทัลของประชากรยังคงอยู่ในระดับเดิม ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจจะทวีความรุนแรงขึ้น อันเป็นผลมาจากการที่รายได้ของกลุ่มผู้มีรายได้สูงเติบโตรวดเร็วกว่ากลุ่มผู้มีรายได้น้อย ถึงแม้ว่าจะช่วยให้ GDP ของประเทศเติบโตได้ ร้อยละ 5.44 ก็ตาม

“แบบจำลอง MODEST สามารถรองรับการวิเคราะห์ผลกระทบเชิงนโยบายในมิติที่หลากหลาย
ทั้งด้านการค้าเสรี การไหลเวียนทางดิจิทัล และปัจจัยเชิงภูมิภาคอื่น ๆ 

หวังว่าแบบจำลองนี้ จะเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับประเทศไทยและประเทศสมาชิกอาเซียน ใน
การประเมินผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล และเพื่อพัฒนาข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สอดคล้องกับเป้าหมายต่อไป” ดร.เวทางค์กล่าว