ทำ “CPR” ในยุคนิวนอร์มอล ช่วยเซฟชีวิตคนในยามฉุกเฉิน

ถ้าเจอคนหมดสติอยู่ตรงหน้าคุณ คุณจะเป็นใคร?

เป็นคนที่กลัว คนที่ตกใจ คนที่สนใจ คนที่เอาใจช่วย ไม่ว่าคุณจะเป็นใครในเวลานั้น การช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน หรือการทำ CPR ในกรณีฉุกเฉินเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ โดยคุณจะมีเวลาเพียงแค่ 4 นาที เพื่อเร่งปั๊มหัวใจคนหมดสติที่อยู่ข้างหน้าไม่ให้สมองขาดออกซิเจน และต้องทำอย่างต่อเนื่องจนกว่าคนนั้นจะมีสติขึ้นมา ซึ่งต้องใช้กำลังอย่างมากหากมีคนทำ CPR เพียงแค่คนเดียว

วันนี้คุณอาจจะมีโอกาสได้ช่วยชีวิตใครคนหนึ่ง หรือคนนั้นๆ อาจจะเป็นคนที่สำคัญกับคุณ ภายในช่วงเวลาอันน้อยนิด แน่นอนว่ามีค่าสำหรับทุกชีวิตเลย ซึ่ง “นายเขตนภันต์ จุลจิรวัฒน์ วิทยากรสอนการช่วยชีวิต โดย มูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้อาสาเป็นวิทยากรปันความรู้ “ทำ CPR แบบยุคนิวนอร์มอล” ในงาน “เฮลท์แคร์ 2021 วัคซีนประเทศไทย” #เราจะฝ่าวิกฤติไปด้วยกัน เพื่อให้ทุกคนสามารถช่วยกู้ชีวิตผู้ป่วยก่อนสมองตายใน 4 นาที อย่างถูกวิธี

เมื่อพบ “คนหมดสติ ไม่รู้สึกตัว หัวใจหยุดเต้น ไม่หายใจ หรือหายใจเฮือกการทำ CPR จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีบุคคลอยู่หลายๆ คน เข้ามาร่วมมือกันในการช่วยเหลือผู้ป่วย ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือภายใน 4 นาที โอกาสที่ผู้ป่วยจะรอดชีวิตนั้นก็จะยากขึ้น โดยวิธีช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานสำหรับผู้ใหญ่ 1. ให้ประเมินความปลอดภัยสถานที่เกิดเหตุ เช่น ถ้าผู้หมดสติอยู่กลางถนน ต้องนำผู้หมดสติมาไว้ในพื้นที่ที่ปลอดภัย เมื่อมั่นใจว่าปลอดภัยแล้ว ค่อยๆ ตบไหล่ที่ตัวผู้ป่วย หรือเรียกดังๆ ว่ามีสติหรือมีการตอบสนองหรือไม่ และในยุคนิวนอร์มอลแบบนี้ ก่อนสัมผัสผู้ป่วยให้สวมหน้ากากอนามัยและถุงมือ (ถ้ามี) และควรสวมหน้ากากอนามัยให้กับผู้ป่วยก่อนทำ CPR ด้วย

  1. โทร. 1669 จำเลขนี้ไว้ให้ดี เพื่อขอความช่วยเหลือจากหน่วยช่วยชีวิตฉุกเฉิน โดยบอกรายละเอียด จำนวนผู้หมดสติ สถานที่เกิดเหตุ และเบอร์โทรติดต่อกลับ หรือเปิดลำโพงเพื่อปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่
  2. จัดท่าให้ผู้หมดสตินอนหงายบนพื้นราบและต้องเป็นพื้นแข็ง โดยจัดแขนให้อยู่ข้างลำตัว ไม่บิดไปมา 
  3. ถ้าผู้ป่วยหมดสติไม่ตอบสนอง ไม่มีสัญญาณชีพ ให้วางส้นมือข้างหนึ่งไว้ที่ครึ่งล่างของกระดูกหน้าอก และนำมืออีกข้างหนึ่งวางทาบไปบนมือแรก จากนั้นทำการกดหน้าอกทันที แต่ระวังอย่ากดโดนกระดูกซี่โครงเพราะอาจหักได้
  4. กดหน้าอก 30 ครั้ง โดยกดให้ยุบลงอย่างน้อย 2 นิ้ว กดแล้วปล่อยติดต่อกัน 30 ครั้ง โดยนับ 1 และ 2 และ 3 ไปเรื่อยๆ จนถึง 30 เพื่อให้ได้ความถี่ 100 – 120 ครั้งต่อนาที และเป่าปาก 2 ครั้ง (นับเป็น 1 รอบ) ให้ทำทั้งหมด 5 รอบ ในเวลาประมาณ 2 นาที

หลักการง่ายๆ ในการที่เราจะวัดตำแหน่งหัวใจจากภายนอก เราจะลากเส้นตรงระวังหัวนมทั้งสองข้าง จุดตัดตรงแกนกลาง คือตำแหน่งที่เราจะวางส้นมือลงไปเพื่อทำการกดหน้าอก ซึ่งกระดูกหน้าอกเป็นกระดูกแผ่นใหญ่ๆ ที่อยู่ตรงกลาง มีความแข็งแรง สามารถที่จะกดลงไปเพื่อที่จะทำการนวดหัวใจช่วยเหลือผู้ป่วยได้ กดหน้าอกลงตรงๆ โดยให้มีความลึกอย่างน้อย 2 – 2.4 นิ้ว และมีอัตราเร็วในการกดอย่างน้อย 100 – 120 ครั้งต่อนาที หลังการกดแต่ละครั้งต้องปล่อยให้อกคืนตัวจนสุด ทุกครั้ง ส่วนท่ากด หลังตรง 90 องศาตั้งฉากกับทรวงอก ยกส้นเท้า และแขนของทั้งสองข้างตั้งตรง ไม่งอแขนทั้งจังหวะกดและการผ่อน ก็จะทำให้การกดกดไปได้อย่างมีคุณภาพ

5 ขั้นตอนแรกคือการทำ CPR แบบปกติ ซึ่งในยุคนิวนอร์มอล เราจะทำแบบ HANDS-ONLY CPR นั่นก็คือการช่วยโดยการกดหน้าอกเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสสารคัดหลั่ง และไม่มีการเป่าปาก ผู้ที่หมดสติใหม่ๆ ระดับออกซิเจนในเลือดเขายังพอมีอยู่ เราสามารถช่วยเปิดทางเดินหายใจ โดยให้ใช้วิธีการกดหน้าผากและเชยคาง และกดหน้าอก 200 ครั้ง โดยทำอย่างต่อเนื่องประมาณ 2 นาที พร้อมประเมินอาการของผู้ป่วย ด้วยการตบไหล่และเรียกเสียงดังๆ ถ้าไม่มีคนช่วยให้พักได้ไม่เกิน 10 วินาที จากนั้นให้ทำการกดหน้าอกต่อ จนกว่าผู้ป่วยจะมีความเคลื่อนไหว หรือไอ หรือมีผู้นำเครื่อง  AED มาช่วย

สำหรับเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ หรือ เครื่อง AED ถือเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่สำคัญในการกู้ชีพขั้นพื้นฐาน ใครที่ได้รับการฝึกมาแล้วก็สามารถใช้เครื่องนี้ได้ โดยเริ่มแรกผู้ทำการช่วยเหลือจะต้องกดปุ่มเปิดเครื่อง AED และดึงแผ่นนำไฟฟ้า ติดตามรูปที่แสดง แผ่นแรกจะต้องนำไปติดที่หน้าอกตอนบน ใต้กระดูกไหปลาร้าด้านขวา และแผ่นที่สองจะต้องติดที่ราวนมซ้ายด้านข้างลำตัว และที่สำคัญคือ จะต้องติดให้แนบสนิทกับหน้าอกของผู้ป่วยด้วย จากนั้นเครื่อง  AED จะทำการวิเคราะห์จังหวะการเต้นของหัวใจ ในระหว่างนี้ห้ามผู้ที่ช่วยเหลือสัมผัสตัวผู้ป่วยเด็ดขาด เมื่อเครื่องวินิจฉัยเสร็จแล้ว จะขึ้นสัญญาณให้กดปุ่ม “Shock” ซึ่งผู้ช่วยเหลือต้องพูดดังๆ ว่า ผมถอย คุณถอย ทุกคนถอย แล้วกดปุ่ม Shock ที่ปรากฏบนตัวเครื่อง หากเครื่องไม่สั่งให้ Shock ก็ต้องทำการ CPR อย่างต่อเนื่อง จนกว่าเจ้าหน้าที่กู้ชีพจะมาถึง

อวัยวะต่างๆ ที่สำคัญ จะเป็นอย่างไรเมื่อหัวใจหยุดเต้น

ถ้าหัวใจหยุดเต้นทันที สิ่งที่เกิดขึ้น จะเป็นลมหมดสติภายใน 15 วินาที คลื่นไฟฟ้าสมองผิดปกติใน 30 วินาที กำลังจะเริ่มมีการหยุดหายใจ รวมถึงอาจจะเป็นการหายใจแบบเฮือก ภายใน 30 วินาที รูม่านตาจะมีการขยายตัว 30 – 60 วินาที สมอง จะเริ่มเสียหายภายใน 4 – 6 นาที และถ้าหากไม่มีการช่วยเหลือใดๆ หรือว่าการช่วยเหลือที่ไม่มีประสิทธิภาพ ช่วงเวลา 8 – 10 นาที จะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้

สัญญาณเตือนให้รีบพบแพทย์

หากมีอาการดังต่อไปนี้ ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด พูดไม่ออก แขนขาอ่อนแรงซีกเดียว เจ็บแน่นตรงกลางหน้าอกมากเหมือนมีอะไรหนักๆ ทับไว้จนบอกไม่ถูก โดยอาการเจ็บหน้าอกจะเกิดขึ้นนานประมาณ 2 – 3 นาที ไม่เกิน 10 – 15 นาที พบอาการเหล่านี้ต้องรีบไปพบแพทย์ เพื่อได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง

อย่างไรก็ตาม ในภาพของประชาชนทั่วไป อาจจะไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยเหมือนในโรงพยาบาล แต่สิ่งสำคัญคือการได้ทำ CPR เพื่อเพิ่มโอกาสรอดให้กับผู้ป่วย ซึ่งทุกๆ 2 นาที หรือ กด 200 – 240 ครั้ง ให้สลับผู้ช่วยเหลือ ซึ่งในยุคนิวนอร์มอล แนะนำให้กดหน้าอกอย่างเดียว และในกรณีช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานเด็ก ให้กดด้วยส้นมือ 1 หรือ 2 ข้างก็ได้ โดยความลึกอยู่ที่ประมาณ 5 เซนติเมตร และความเร็วอยู่ที่ 100 – 120 ครั้งต่อนาที 

“การที่เราสามารถให้การช่วยเหลือผู้ป่วยด้วยการทำ CPR ประกอบกับการใช้เครื่อง AED ตัวอย่างคนแรกไม่มีการทำ CPR เลย ใช้เครื่อง AED ในนาทีที่ 10 โอกาสรอดอยู่ที่ 0 – 2 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่คนต่อมา มีการทำ CPR ต่อนาทีที่ 2 และใช้เครื่อง AED ในนาทีที่ 10 โอกาสรอดอยู่ที่ 2 – 8 เปอร์เซ็นต์ คนที่ 3 ทำ CPR นาทีที่ 2 เริ่มมีการใช้เครื่อง AED เร็วขึ้น ตอนประมาณนาทีที่ 7 โอกาสรอดเพิ่มขึ้นมาเป็น 20% และคนสุดท้ายมีการทำ CPR ในนาทีที่ 2 มีการใช้เครื่อง AED เร็วและบุคลากรทางการแพทย์รับช่วงต่อเร็ว โอกาสรอดเพิ่มขึ้นเป็น 50% จะเห็นว่าการช่วยเหลือตั้งแต่การเริ่มกระบวนการที่รวดเร็วทันทีทันใด พร้อมกับการมีเครื่องไม้เครื่องมือ กระบวนการรักษาส่งต่อที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ก็จะเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้กับผู้ป่วย”


ทั้งนี้ การช่วยเหลือต้องทำให้เร็วที่สุด ถึงจะช่วยเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตของผู้ป่วยฉุกเฉินได้มากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าทุกขั้นตอน ไม่ยากเลย ถ้าทำอย่างถูกต้องและทันเวลา จะสามารถเซฟชีวิตคนสำคัญของใครอีกหลายคนได้อีกมากมาย