ไซยาไนด์ : ทำความรู้จัก “ราชาแห่งยาพิษ” และพิษร้ายแรงอื่น ๆ ที่เหล่าฆาตกรนิยมใช้

Getty Images ยาพิษไร้สีไร้กลิ่น ปริมาณน้อยก็ถึงตาย เรียกได้ว่า "ยาพิษสมบูรณ์แบบ"

รู้ไหมว่าสารพิษบางตัวปริมาณแค่ 2 กิโลกรัม ก็เพียงพอจะทำให้ประชากรโลกเสียชีวิต

เมื่อคิดถึงยาพิษอันตรายถึงตาย ความคิดเรามักจะคิดไปถึงสารหนูก่อนเป็นลำดับแรก ๆ เพราะเชื่อว่าเป็นอาวุธสังหารบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งอังกฤษ, นโปเลียน โบนาปาร์ต (จักรพรรดินโปเลียนที่ 1) แห่งฝรั่งเศส ไปจนถึงสมเด็จพระจักรพรรดิกวังซวี่ (Gaungxu) แห่งราชวงศ์ชิงของจีน เพราะในอดีตนั้น มีการใช้สารหนู ทั้งเป็นยารักษา และอื่น ๆ มากมาย

แต่จริง ๆ แล้ว เมื่อกาลเวลาผ่านไป ยาพิษที่ถูกพูดถึงก็เพิ่มมากขึ้น และร้ายแรงมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลพวงจากนวนิยาย และมังงะ (หนังสือการ์ตูน) ญี่ปุ่น ยกตัวอย่าง “นักสืบจิ๋วโคนัน” ที่อ่านไปไม่ถึง 5 เล่ม ก็มีการพูดถึงยาพิษไร้สีไร้กลิ่น อย่างไซยาไนด์แล้ว

หนังสือชื่อ “รสชาติแห่งยาพิษ” (A Taste of Poison) ซึ่งเผยแพร่เมื่อปี 2022 และเขียนโดยศาสตราจารย์ นีล แบรดบูรี นักวิทยาศาสตร์และนักชีวฟิสิกส์ ได้อธิบายถึงพิษ 11 ชนิด ที่เหล่าอาชญากร และฆาตกรได้ใช้เพื่อสังหารเหยื่อ

บีบีซีไทย จะพาไปทำความรู้จัก ยาพิษ 3 ชนิดที่ แบรดบูรี มองว่า เป็นที่นิยมมากที่สุดในโลกยุคปัจจุบัน

*หมายเหตุ: บทความนี้ เป็นการพูดถึงฤทธิ์และอันตรายของยาพิษแต่ละชนิด บีบีซีไม่ขอลงรายละเอียด ถึงการให้ได้มาซึ่งสารเหล่านี้

สารหนู (Arsenic) “ราชาแห่งยาพิษ”

“สารหนูเป็นเจ้าของสถิติในฐานะยาพิษที่มีการใช้มายาวนานและเลื่องชื่อที่สุดในโลก” แบรดบูรี ระบุในหนังสือของเขา

ในศตวรรษที่ 19 การวางยาพิษด้วยสารหนู คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของการวางยาพิษทั้งหมด ด้วยเหตุผลว่า หาได้ง่าย มีการใช้งานที่หลากหลายทั้งรักษาเนื้อไม้ในอุตสาหกรรมไม้อัด กำจัดศัตรูพืช ไปจนถึงในของเล่นสำหรับเด็กก็มี

สำหรับฆาตกรที่ตั้งใจวางยาพิษคนอื่น สารหนูมีความพิเศษที่การใช้เพียงครั้งละไม่มาก ให้เหยื่อตายอย่างช้า ๆ เพราะเมื่อรับสารหนูเข้าไปในร่างกายแล้ว (ปริมาณไม่มาก) จะก่อให้เกิดอาการท้องเสีย เป็นไข้ อาหารเป็นพิษ อาเจียน และเจ็บท้อง เป็นต้น

การได้รับสารหนูในปริมาณเล็กน้อยติดต่อกันเป็นเวลานาน เช่น การบริโภคอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อน จะส่งผลเรื้อรังและอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างรุนแรงได้ จนกระทั่งอวัยวะล้มเหลวจนตาย

เว็บไซต์พบแพทย์ (Pobpad) ระบุว่า ปริมาณสารหนูที่ถือว่าอันตรายสำหรับร่างกายคนเราคือปริมาณ 1.5-500 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม แต่หากได้รับในปริมาณ 130 มิลลิกรัมก็ทำลายระบบอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย

ดอมินิก เบอร์เจส พิธีกรคอลัมน์ บริตแลบ (BritLab) ของบีบีซี ฟิวเจอร์ อธิบายว่า สารหนูเพียง 200 มิลลิกรัม หรือหนักเท่าเมล็ดฝน ก็ฆ่าคนได้แล้วใน 2 ชั่วโมง “หยดเดียว ก็รู้สึกเหมือนอวัยวะภายใน มันจะพุ่งทะลุออกมาข้างนอก” เขากล่าว

“200 มิลลิกรัม ร่างกายจะเริ่มเกิดอาการ เริ่มจากรู้สึกถึงรสเหล็กในปาก อาเจียนรุนแรง ท้องเสีย แล้วราว 2 ชั่วโมง คุณก็ตาย” เบอร์เจส อธิบาย แต่ถ้าร่างกายรับไป 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร ก็ถือว่ายังไม่อันตรายนัก เพราะคนที่ดื่มน้ำประปาที่ไม่ผ่านการกรอง มักจะได้รับสารหนูเข้าร่างกายในปริมาณนี้

การรักษาผู้ที่ได้รับสารหนูนั้นสามารถทำได้ อาทิ ให้ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อให้พิษเจือจาง หากได้รับสารหนูจากการดื่มหรือรับประทาน แต่หากหายใจเข้าไป ก็ต้องไปยังที่อากาศบริสุทธิ์ เพื่อให้ร่างกายรับอากาศดีเข้ามามากขึ้น

แบรดบูรี ระบุต่อในหนังสือว่า สารหนูนั้นพบได้ตามธรรมชาติ บางครั้งก็ปนเปื้อนในน้ำบาดาล มนุษย์ยังฉีดสารหนูเข้าไปในไก่ เพื่อให้ไก่ดูอวบและเนื้อสีชมพู อย่างไรก็ดี การกระทำเช่นนี้สุดสุดมานานตั้งแต่ปี 2013 แล้ว หลังมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่า สารหนูก่อให้เกิดมะเร็งและปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ได้

ไซยาไนด์ (Cyanide) อาวุธฆาตกรรมยอดนิยม

สำหรับแบรดบูรีแล้ว ยาพิษอย่างไซยาไนด์มีชื่อเสียงอย่างมาก จากบทบาทในนวนิยายและภาพยนตร์แนวสืบสวนสอบสวนและหนังสายลับ ไม่เพียงเท่านั้น นาซีเยอรมันยังใช้ไซยาไนด์ในการสังหารนักโทษในค่ายมรณะด้วย

ไม่ต่างจากสารหนู ไซยาไนด์เป็นสารพิษที่พบได้ทั่วไปในพืชหลากหลายชนิด รวมถึงพบในสารสังเคราะห์สำหรับสีฟ้าอีกด้วย

ไซยาไนด์ ไร้สี ไร้กลิ่น

BritLab/BBC Future
ไซยาไนด์ ไร้สี ไร้กลิ่น

ผู้ประพันธ์ “รสชาติแห่งยาพิษ” อธิบายว่า สาเหตุที่ทำให้ไซยาไนด์เป็น “ยาพิษสมบูรณ์แบบ” นั่นก็เพราะมันไร้รสชาติ และมีศักยภาพสังหารสูง เพียงสัดส่วน 1 ใน 500 ช้อนชา ก็ทำให้ผู้ใหญ่เสียชีวิตได้แล้ว

เมื่อรับสารไซยาไนด์เข้าไปแล้ว ตัวสารจะเข้าไปเกาะกับฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ทำให้เซลล์ทำงานล้มเหลวในการผลิตพลังงานไปหล่อเลี้ยงร่างกาย ฤทธิ์ของมันจะคล้ายสารหนู แต่ไซยาไนด์ออกฤทธิ์เร็วกว่ามาก เพราะเป็นอันตรายต่อหัวใจได้ในทันที

อาการแรกเริ่ม คือ ปวดหัวอย่างรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียน ตามด้วยอาการหมดสติ เข้าขั้นโคม่า และหัวใจหยุดเต้น จนเสียชีวิต

ยาแก้พิษไซยาไนด์มีเช่นกัน แต่ต้องได้รับแทบจะในทันที ที่รับสารไซยาไนด์ในปริมาณอันตรายเข้าร่างกาย ส่งผลให้การรับสารไซยาไนด์โดยไม่ตั้งใจ 95% ล้วนนำไปสู่การเสียชีวิต

สตริกนิน (Strychnine) ยาพิษที่ “ชั่วร้าย”

แบรดบูรี เรียก สตริกนิน ว่า “ยาพิษที่ชั่วร้ายที่สุด” แต่กลับเป็นที่โปรดปรานของนักเขียนนวนิยายชื่อดัง อย่าง อกาธา คริสตี ถ้าคุณเป็นคนชอบหนังคลาสสิก คงจำได้ว่า ยาพิษนี้เป็นสิ่งที่ ตัวเอก นอร์แมน เบตส์ ใช้กับมารดาของเขาในภาพยนตร์ “ไซโค” (Psycho)

สตริกนิน เป็นสารกลุ่ม alkaloid เริ่มใช้กันเพื่อฆ่าหนูในหมู่พ่อค้าแม่ค้า แต่เมื่อฤทธิ์การสังหารของมันเริ่มเป็นที่พูดถึง การใช้เป็นอาวุธสังหารก็ตามมา

“สตริกนิน ทรมานเหยื่อ ทำให้กล้ามเนื้อกระตุกชักอย่างเจ็บปวด จนความตายคือสิ่งที่ฉุดพวกเขาขึ้นมาจากความทรมานเหมือนรกบนดิน”

หลังได้รับสารพิษตัวนี้เข้าไป กล้ามเนื้อจะเริ่มกระตุกแรงขึ้นเรื่อย ๆ กล้ามเนื้อบนใบหน้าบีบอัดจนเหมือน “ยิ้มอย่างเจ็บปวด” ส่วนกล้ามเนื้อหลัง ซึ่งแข็งแกร่งกว่ากล้ามเนื้อหน้าท้อง จะบีบรัดจนตัวขดเป็นรูปตัวยู เหมือนกุ้ง และเมื่อกระบังลมไม่ทำงาน ความตายก็มาถึง

เหยื่อที่ได้รับยาพิษนี้เข้าไป ยิ่งทรมานมากขึ้น เพราะพวกเขาจะรับรู้ถึงการหายใจเข้าออกได้อย่างแจ่มชัด เหมือนประสาทสัมผัสแหลมคมมากขึ้น นั่นหมายความว่า พวกเขารับรู้อย่างชัดเจนว่า ความตายกำลังจะมาถึง

และที่สำคัญ ไม่มียาแก้พิษสารพิษตัวนี้ ช่วยบรรเทาได้เพียงยาคลายกล้ามเนื้อ และแวเลียม เพื่อลดอาการชักกระตุก ซึ่งหากไม่ได้รับตัวยาเหล่านี้แทบจะในทันที ก็แทบไร้หนทางช่วยเหลือ

โพโลเนียม ตัวสังหารสายลับรัสเซีย

BritLab/BBC Future

BritLab/BBC Future

ปกติ โพโลเนียม-210 เป็นสารกัมมันตรังสีที่ใช้ในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์หรือเครื่องเร่งอนุภาค แต่หากเข้าไปอยู่ร่างกายจะเป็นอันตรายมากกว่าไซยาไนด์หลายเท่าตัว

ผู้ที่ค้นพบโพโลเนียมคือ มาดามมารี กูรี (Marie Curie) นักเคมีชาวโปแลนด์ ซึ่งต่อมาก็เสียชีวิตจากสารกัมมันตรังสี

“โพโลเนียมเพียง 1 ไมโครกรัม หรือแค่ฝุ่นผง ก็เพียงพอทำให้เกิดกัมมันตภาพรังสีที่ถึงตาย หากกลืนเข้าไปในร่างกาย” เบอร์เจส พิธีกรคอลัมน์ บริตแลบ (BritLab) ของบีบีซี ฟิวเจอร์ส อธิบาย

เมื่อปี 2016 โพโลเนียม-210 (Polonium-210) ซึ่งพบบริเวณโต๊ะที่ผู้ตายนั่งดื่มน้ำชาในร้านอาหารญี่ปุ่นอิตซู ซูชิ สันนิษฐานว่า เป็นสาเหตุการเสียชีวิตของ อเล็กซานเดอร์ ลิตวิเนนโก (Alexander Litvinenko) อดีตสายลับรัสเซีย ที่อาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักร วิธีการคาดว่า ลอบหยอดโพโลเนียม-210 ลงในแก้วน้ำชา

“ไร้สี ไร้กลิ่น หลายคนเรียกมันว่า ยาพิษสมบูรณ์แบบ” โดยเมื่อรับโพโลเนียมเข้าร่างกาย มันจะกระจายไปทั่วร่าง ทั้งไตและไขกระดูก ทำให้ผมร่วง อาเจียน ท้องเสีย ก่อนจะเสียชีวิต และไม่มียารักษาโพโลเนียมในปัจจุบัน

เทโทรโดท็อกซิน พิษร้ายจากปลาปักเป้า

เทโทรโดท็อกซิน หรือ TTX จัดเป็นสารพิษจากสัตว์ทะเลที่สำคัญ 1 ใน 3 ชนิด ที่จัดว่าเป็นอันตรายมากต่อสุขภาพ โดยส่วนใหญ่จะพบได้ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งก็จะรวมประเทศไทย

ส่วนใหญ่จะมีสาเหตุเนื่องมาจากการรับประทานปลาที่มีสารพิษดังกล่าวอยู่โดยเฉพาะอย่างยิ่งปลาปักเป้า หมึกสายวงน้ำเงิน ปลาดาว และปลาอีกหลายชนิด

อาการเริ่มแรก เป็นน้อย คือ ริมฝีปากและลิ้นจะเริ่มรู้สึกเหมือนมีเข็มแทงเบา ๆ ยิบ ๆ ถี่ ๆ มีอาการชา ตามมาด้วยอาการชาแบบเดียวกันที่หน้า และมือ เหงื่อออกอย่างรุนแรง จากนั้น “คุณจะทานอะไรไม่ได้ ร่างกายเริ่มชักกระตุก ร่างกายเริ่มไม่ทำงานอย่างช้า ๆ จนเหมือนเป็นอัมพาต และเสียชีวิตหลังเกิดอาการได้ราว 6 ชั่วโมง” เบอร์เจส ระบุ พร้อมเสริมว่า ไม่มียาแก้พิษเช่นกัน

โบทูลินัมท็อกซิน ความงามกับความตาย

“สิ่งที่เหล่าคนดังฉีดเข้าไปบนใบหน้า เพื่อเสริมความงาม ที่เรียกว่า โบท็อก คือสารพิษที่ร้ายแรงที่สุดในโลก” พิธีกรบริตแลบ กล่าว และสารที่ใช้ในการโบท็อก คือ โบทูลินัมท็อกซิน เอ นั่นเอง

ฉีดสารนี้เข้าไปในร่างกายไม่ถึง 1 กรัม อาจทำให้เสียชีวิตได้ โดยโบทูลินัมท็อกซินจะออกฤทธิ์โดยไปสกัดกั้นการส่งผ่านกระแสประสาทบริเวณกล้ามเนื้อด้วยการลดการหลั่งสารอะเซติลโคลีน (acetylcholine) ทำให้การหดตัวของกล้ามเนื้อลดลง ระงับความเจ็บปวด และลดการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ

งานวิจัยด้าน โบทูลินัมท็อกซิน ในฐานะอาวุธชีวภาพ ที่เผยแพร่โดยศูนย์ข้อมูลด้านเทคโนโลยีชีวภาพของสหรัฐฯ ระบุว่า “ผลึกโบทูลินัมท็อกซินน้ำหนักเพียง 1 กรัม ก็สามารถฆ่าคนได้กว่า 1 ล้านคน” ดังนั้น มันจึงมีศักยภาพสูงที่จะถูกใช้เป็นอาวุธเคมีด้วย

ดังนั้น “สารพิษตัวนี้ปริมาณ 2 กิโลกรัม ก็เพียงพอจะทำให้ประชากรโลกเสียชีวิต” เบอร์เจส ระบุ

หมายเหตุ : ข่าว บีบีซีไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว