ดร.ศุภวุฒิ กางปัจจัยเสี่ยง ระวังเอฟเฟ็กต์ลงทุน ห่วงสุญญากาศการเมือง

ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ กางปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลก-เศรษฐกิจไทย ระวังเอฟเฟ็กต์การลงทุน ห่วงสุญญากาศทางการเมืองไทย

วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566 ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เปิดเผยว่า ในปี 2565 ที่ผ่านมา พวกเราทุกคนเจ็บตัวจากการลงทุนกันหมด จากการคาดการณ์เงินเฟ้อที่ผิดพลาดมาก ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต้องขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเกินกว่าคาดมาก และก็คาดหวังว่าปี 2566 จะกลับมามีกำไรจากการลงทุนได้

อย่างไรก็ดีสำหรับปีนี้มีหลายปัจจัยที่ต้องติดตามซึ่งจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย เริ่มที่การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งตลาดคาดการณ์ในแง่บวกว่า ในเมื่อเงินเฟ้อสหรัฐกำลังปรับลดลงแล้ว เฟดน่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกแค่ครั้งเดียว จากที่ปรับขึ้นไปแล้ว 0.25% เมื่อวันที่ 1 ก.พ.2566 และคาดการณ์ว่าจะปรับลดดอกเบี้ยลงประมาณเดือน ก.ย.2566

อย่างไรก็ตาม จากถ้อยแถลงของเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ระบุว่าแม้เงินเฟ้อโดยรวมจะลงแต่เงินเฟ้อที่อยู่ในภาคบริการยังไม่ปรับตัวลง ฉะนั้นคาดว่าเจอโรม พาวเวลล์ จะยังไม่ถอยจนกว่าจะคุมเงินเฟ้อให้อยู่หมัดก่อนจะลดดอกเบี้ยเร็วอย่างที่ตลาดคาด ยกเว้นเงินเฟ้อลงแรงจริง ๆ เป็นต้น

“เจอโรม พาวเวลล์ ไม่ต้องการให้เศรษฐกิจสหรัฐตกอยู่ในสภาวะเดียวกับช่วงที่พอล วอล์คเกอร์ ประธานเฟดขณะนั้น ที่ออกนโยบายควบคุมอัตราเงินเฟ้อได้อย่างผิดพลาดที่สุด โดยในปี 1980 ได้ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปสูงถึง 18% กระทบเศรษฐกิจดิ่งหนัก และผวาประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายตามมา ทำให้ระดับเงินเฟ้อเด้งกลับขึ้นมา และประกาศขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งเพื่อกดเงินเฟ้อลง ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐติดลบในปี 1980 และปี 1982 คือพูดง่าย ๆ เศรษฐกิจสหรัฐถดถอย 2 ครั้ง ภายใน 3 ปี” ดร.ศุภวุฒิ กล่าว

ถัดมาคือภาพเงินเฟ้อโลกที่อาจจะปรับลงมาสู่ระดับ 2% โดยเบื้องต้นก็เชื่อว่าปีนี้เงินเฟ้อทั้งโลกจะไม่สูงขึ้น สอดคล้องกับทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่คาดการณ์เงินเฟ้อไทยจะเริ่มปรับลงเข้าไปสู่กรอบเป้าหมายได้ประมาณปลายปีนี้ จากภาพเศรษฐกิจไทยโดยรวมยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ตามภาคการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ แม้ได้รับแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลง แต่อย่างไรก็ตามภาคส่งออกสินค้ายังค่อนข้างน่าเป็นห่วง

Advertisment

ต่อมาเรื่องปัญหาสงครามรัสเซียยูเครน ซึ่งเตรียมจะสู้รบครั้งใหญ่ภายใน 2-3 เดือนข้างหน้า โดยล่าสุดพันธมิตรประเทศนาโต้อนุมัติอาวุธหนัก เช่น รถถัง, จรวด เพิ่มให้ยูเครน เพราะรู้ว่าขณะนี้รัสเซียกำลังเพิ่มกำลังการทหารเพื่อมาโจมตี ฉะนั้นปัญหาสงครามรัสเซียยูเครนจะรุนแรงขึ้นในอีก 6 เดือนข้างหน้า

ส่วนสภาพเศรษฐกิจจีนที่เราเห็นชัดขึ้นจากการเปิดตัวเร็วกว่าที่คาด และคงจะฟื้นตัวแรงกว่าที่คาดในครึ่งหลังของปีนี้ แต่ต้องจับตาว่าการฟื้นตัวจะทำได้ดีอย่างที่คาดหรือไม่ รวมไปถึงแนวโน้มวิกฤตหนี้กลุ่มประเทศเกิดใหม่จะลดลงหรือไม่

Advertisment

ประเด็นสุดท้ายที่คิดว่าสำคัญคือ ผลการเลือกตั้งได้รัฐบาลใหม่ เป็นที่ถูกใจประชาชนและตลาดหุ้นหรือไม่ โดยสภาจะครบวาระ 23 มี.ค.2566 และต้องเลือกตั้งภายใน 45 วัน (วันเลือกตั้งคือวันที่ 7 พ.ค.2566) และถ้ามีการยุบสภาก่อน ซึ่งตามรัฐธรรมนูญต้องเลือกตั้งภายใน 45-60 วัน ซึ่งจะยืดวันเลือกตั้งไปเป็นช่วงวันที่ 14 หรือ 21 พ.ค.2566

ซึ่งตอนนี้เรื่องการเมืองสะท้อนให้เห็นว่าเริ่มไม่มีการดำเนินนโยบายใด ๆ สภาล่มบ่อย ฉะนั้นจึงเกิดสภาวะสุญญากาศ ซึ่งปล่อยไว้นาน ๆ ไม่ค่อยเป็นผลดีต่อประเทศ โดยคาดว่ากว่าจะได้รัฐบาลใหม่เข้ามารับตำแหน่งและประกาศนโยบายได้ภายในปลายเดือน มิ.ย.2566 ไปแล้ว ฉะนั้นช่วงไตรมาส 2/2566 คือจุดสำคัญว่าเศรษฐกิจไทยจะออกหัวหรือก้อย