“เซนไฮเซอร์” ปักธงโต 2 ดิจิต ทุ่มอีเวนต์เพิ่มช่องทางขาย

“เซนไฮเซอร์”ลุยเต็มสูบรักษาอัตราเติบโต 2 ดิจิตต่อเนื่อง เพิ่มดีกรีบุกตลาดไทยเน้นจัดอีเวนต์ให้ความรู้เพิ่มความใกล้ชิดลูกค้า และขยายช่องทางจำหน่าย ลุ้นครบ 100 แห่งภายในสิ้นปี พร้อมขยับขยายช่องทางขายออนไลน์เปิดออฟฟิเชียลช็อปผ่าน “ลาซาด้า”ทั้งเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีรองรับ 3D ออดิโอ

 

นายอันเดรอัส เซนไฮเซอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท เซนไฮเซอร์ อิเล็กทรอนิค จำกัด ผู้ผลิตหูฟังระดับโลก กล่าวว่า ตลาดเอเชีย-แปซิฟิกประเทศจีนเติบโตสูงสุด แต่อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ก็มีแนวโน้มเติบโตสูง ส่วนไทยเป็นประเทศที่เซนไฮเซอร์สนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคชอบฟังเพลง และใช้สมาร์ทโฟนเพื่อเข้าถึงโซเชียลมีเดียทำให้มีกิจกรรมต้องฟังเสียงมากขึ้น ทั้งยังใส่ใจเรื่องคุณภาพเสียงด้วย ประกอบกับการขยายตัวของรถไฟฟ้าน่าจะมีผลดีต่อธุรกิจด้วย เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่มักฟังเพลงเวลาอยู่บนรถไฟฟ้า

ในปีที่ผ่านมา เซนไฮเซอร์หันมาขายสินค้าเองด้วย จึงเติบโตได้ระดับ 2 ดิจิต เทียบกับไตรมาสแรกปีที่แล้ว และเชื่อว่าปีนี้จะรักษาอัตราการเติบโตได้ต่อเนื่อง

ส่วนการทำตลาดในไทยแบ่งเป็น 2 แบบ คือ 1.การสร้างการรับรู้ให้ผู้ใช้ให้ได้ลองสัมผัสหูฟังประสิทธิภาพสูง เช่น ร่วมมือกับพันธมิตรด้านการขายในประเทศจัดงาน “เซนไฮเซอร์ เดย์” 2.เพิ่มช่องทางจำหน่ายอีก 20-30 แห่ง จากปัจจุบันมี 68 แห่ง โดยเน้นร่วมกับโมเดิร์นเทรดเข้าถึงลูกค้าในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ ทั้งยังมีออฟฟิเชียลช็อปในเว็บไซต์ลาซาด้า

“เราโฟกัสที่หน้าร้าน เพื่อให้ผู้บริโภคได้ทดลองใช้และได้ใกล้ชิดลูกค้ามากขึ้น ส่วนช่องทางออนไลน์ก็เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้สะดวกขึ้น”

ปัจจุบันหูฟังไร้สายบลูทูท(Bluetooth)ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น จากกระแสการออกกำลังกาย รวมทั้งสมาร์ทโฟนบางแบรนด์เริ่มตัดช่องเสียบหูฟังออก แต่มีอีกไม่น้อยที่ยังเชื่อว่าหูฟังแบบมีสายดีกว่า แต่เทคโนโลยีปัจจุบันคุณภาพเสียงไม่แตกต่างกัน ซึ่งเซนไฮเซอร์กำลังพัฒนาสินค้าเพื่อกลุ่มสปอร์ตด้วย

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม เซนไฮเซอร์ กล่าวว่า บริษัทให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้ามากกว่าราคา เพื่อเจาะตลาดกลางและบน โดยปีที่ผ่านมาใช้งบประมาณวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้น 16% คิดเป็น 8.3% ของผลประกอบการทั่วโลก หรือราว 54.5 ล้านยูโร

และกำลังโฟกัสด้าน 3D Audio ที่พัฒนามาจากการที่มีเทคโนโลยี AR/VR ซึ่ง 3D Audio ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงระบบเสียงหลายทิศทางได้ภายใต้การวิจัยและพัฒนา AMBEO 3D Audio เริ่มจากอุปกรณ์บันทึกเสียง สำหรับตลาดผู้เชี่ยวชาญที่นำไปใช้ในการบันทึกเสียง และในอนาคตมีแผนส่งผลิตภัณฑ์หูฟังที่รองรับเทคโนโลยีออกสู่ตลาด และคาดว่าอีก 2-3 ปี ตลาด 3D ออดิโอ น่าจะเติบโตขึ้น ซึ่งเฟซบุ๊กเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เติบโต เนื่องจากเริ่มให้ความสำคัญกับคอนเทนต์ด้านวิดีโอ AR/VR มากขึ้น

นอกจากนี้ เซนไฮเซอร์กำลังมองหาตลาดใหม่ ๆ เช่น ประเทศอินเดีย เนื่องจากเป็นหนึ่งในตลาดที่น่าสนใจ แต่เซนไฮเซอร์เน้นสินค้าพรีเมี่ยม ดังนั้นราคาสินค้าจึงอาจแพงเกินไปในประเทศนั้น ดังนั้นราคาเป็นอีกสิ่งที่เซนไฮเซอร์กำลังปรับให้เหมาะกับตลาด โดยใช้การทำแบบเดียวกับ BMW ที่แม้ภาพลักษณ์พรีเมี่ยมที่ปรับสินค้าให้มีราคาจับต้องได้แต่ยังคงคุณภาพสูง

สำหรับผลประกอบการทั่วโลกในปี 2559 ที่ผ่านมา เซนไฮเซอร์มีรายได้ 658.4 ล้านยูโร กำไรเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.2 หรือ 34.9 ล้านยูโร มีสัดส่วนลูกค้ากลุ่มมืออาชีพ (Professional) ซึ่งเป็นอุปกรณ์บันทึกเสียงที่ใช้ในงานคอนเสิร์ต, การประชุมคอนเฟอร์เรนซ์, ห้องอัดเสียงต่าง ๆ 65% และผู้บริโภคทั่วไป 35%