แบงก์ชาติ คาดอนุมัติสินเชื่อฟื้นฟูได้ตามเป้า 1 แสนล้านบาท ภายใน ต.ค.นี้

ธปท-กนง

ส่องยอดอนุมัติสินเชื่อฟื้นฟูล่าสุด แบงก์ชาติชี้มีแนวโน้มปล่อยกู้ได้ตามเป้าหมาย 1 แสนล้านบาท ภายใน ต.ค.นี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้รายงานความคืบหน้าโครงการสินเชื่อฟื้นฟู อัพเดตถึง ณ วันที่ 28 มิถุนายน 2564 มียอดอนุมัติสินเชื่อแล้ว 50,948 ล้านบาท จำนวนผู้ได้รับความช่วยเหลือ 16,811 ราย วงเงินอนุมัติเฉลี่ยที่ 3 ล้านบาทต่อราย

โดยในจำนวนผู้ได้รับสินเชื่อ 16,811 ราย พบว่า ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่มีวงเงินสินเชื่อเดิม 5-50 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 47.8% รองลงมาเป็นธุรกิจรายใหญ่ ที่มีวงเงินสินเชื่อเดิม 50-500 ล้านบาท สัดส่วน 42.4% และ เป็นผู้ประกอบการรายย่อยระดับไมโคร 7.4% ที่เหลือเป็นลูกหนี้ใหม่

ทั้งนี้ วงเงินสินเชื่อที่อนุมัติแล้ว 50,948 ล้านบาทดังกล่าว พบว่า ผู้ประกอบการด้านการพาณิชย์มีสัดส่วนมากที่สุด 53.4% รองลงมาเป็นผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการผลิต และ ผู้ประกอบการด้านการบริการ สัดส่วน 14.8% เท่ากัน ขณะที่ผู้ประกอบการด้านการก่อสร้าง มีสัดส่วน 9.6% ส่วนด้านการสาธารณูปโภคมีสัดส่วน 3.6%

ส่วนความคืบหน้าโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ พบว่า มีจำนวนผู้ได้รับความช่วยเหลือแล้ว 11 ราย คิดเป็นมูลค่าสินทรัพย์ที่รับโอนแล้ว 940.98 ล้านบาท

ล่าสุด นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน 1 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การปล่อยสินเชื่อฟื้นฟูมีความคืบหน้าและมีแนวโน้มดำเนินการได้ตามเป้าหมายร่วมของ ธปท.และสมาคมธนาคารไทยที่ 1 แสนล้านบาท ภายในเดือนตุลาคมนี้ โดยยอดสินเชื่อฟื้นฟูทยอยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยสินเชื่อกระจายตัวได้ดีทั้งในแง่ของขนาด ประเภทธุรกิจและภูมิภาค โดย 46% กระจายไปยัง SMEs ขนาดเล็ก ที่มีวงเงินสินเชื่อเดิมไม่เกิน 5 ล้านบาท ขณะที่ 68% อยู่ในภาคพาณิชย์และบริการ และ 68% เป็นธุรกิจในต่างจังหวัด

ส่วนโครงการ “พักทรัพย์ พักหนี้” ข้อมูล ณ 28 มิถุนายน 2564 มีมูลค่าทรัพย์สินที่ได้รับโอน 941 ล้านบาท จากจำนวนผู้ได้รับความช่วยเหลือ 11 ราย เนื่องจากเป็นโครงการใหม่ ทั้งสถาบันการเงินและลูกหนี้ยังไม่คุ้นเคยกับลักษณะของโครงการ ทำให้ต้องใช้เวลาในการเจรจาหาข้อสรุปในเงื่อนไขต่าง ๆ อาทิ ราคาตีโอน เงื่อนไขการเช่า ผู้ดูแลทรัพย์ และการซื้อคืน เป็นต้น ปัจจุบันมีลูกหนี้จำนวนหนึ่งที่สถาบันการเงินอนุมัติในเบื้องต้นแล้ว อยู่ระหว่างการเจรจาข้อตกลงในรายละเอียด ประกอบกับลูกหนี้ยังรอการออกกฎหมายยกเว้นภาษีที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมให้มีผลบังคับใช้ คาดว่าจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการจะทยอยเพิ่มขึ้นในระยะต่อไป

ทั้งนี้ ธปท. เห็นว่ายังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงหลักเกณฑ์ของโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ที่ได้ถูกออกแบบมาโดยมีการหารือกับสถาบันการเงินและผู้ประกอบการมาโดยตลอด ดังนั้น ต้องให้เวลาทั้งสองฝ่ายเจรจาเงื่อนไขต่าง ๆ ตามที่ได้กล่าวไปแล้ว

ที่ผ่านมา ธปท. รับทราบปัญหาในประเด็นต่าง ๆ ของลูกหนี้มาอย่างต่อเนื่อง และได้สื่อสารทำความเข้าใจเพิ่มขึ้น เช่น ผู้ประกอบการไม่จำเป็นต้องมีหลักประกันเพิ่มในการขอสินเชื่อฟื้นฟู เพราะมีกลไกการค้ำประกันโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย) นอกจากนี้ ก่อนการเจรจากับสถาบันการเงิน ผู้ประกอบการควรเตรียมความพร้อม อาทิ จัดทำแผนการดำเนินธุรกิจหรือแนวทางการปรับธุรกิจ ที่จะช่วยเพิ่มรายได้ในระยะข้างหน้า หรือประมาณการกระแสเงินสดที่จะเข้ามาในอนาคต เป็นต้น เพื่อเพิ่มโอกาสและความรวดเร็วในการที่จะได้รับสินเชื่อฟื้นฟูจากสถาบันการเงิน

อนึ่ง ในกรณีลูกหนี้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ มีความกังวลว่าจะถูกยึดทรัพย์เมื่อครบกำหนดสัญญานั้น ในทางปฏิบัติ ลูกหนี้และเจ้าหนี้ต้องทำสัญญาเพื่อกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ ร่วมกัน และทั้งสองฝ่ายต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด โดย ธปท. ได้เข้าไปร่วมพิจารณาสัญญาให้เป็นธรรมโดยการกำหนดถ้อยคำในสัญญามาตรฐาน และให้สถาบันการเงินที่ขอเข้าร่วมโครงการส่งสัญญาตีโอนให้ ธปท. พิจารณาก่อนที่สถาบันการเงินจะเข้าร่วมโครงการนี้ได้

โดย ธปท. ให้ความสำคัญและตระหนักถึงปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs และทำงานเชิงรุกร่วมกับสมาคมธนาคารไทย และกับสถาบันการเงินแต่ละแห่ง ในการติดตามความคืบหน้าของมาตรการอย่างใกล้ชิด รวมทั้งร่วมมือกับสมาคม สมาพันธ์ และชมรมต่าง ๆ ของภาคธุรกิจในการสร้างความเข้าใจ แก้ไขข้อจำกัด เพื่อให้ลูกหนี้เข้าถึงมาตรการความช่วยเหลือต่าง ๆ ได้ “รวดเร็ว เพียงพอ และตรงจุด”

นอกจากนี้ ธปท. ได้กำชับให้สถาบันการเงินเร่งรัดกระบวนการพิจารณา และหาข้อสรุปกับลูกหนี้โดยเร็ว รวมถึงสื่อสารทำความเข้าใจกับพนักงานสาขาในการให้ข้อมูลกับผู้ประกอบการได้ทั่วถึงยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ธปท. ขอให้ผู้ประกอบการที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนอยู่ รีบติดต่อสถาบันการเงินที่ใช้บริการเพื่อร่วมหาแนวทางความช่วยเหลือที่เหมาะสมกับแต่ละราย หากผู้ประกอบการต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อสถาบันการเงินโดยตรง หรือ คอลเซ็นเตอร์ ธปท. โทร 02-2836112