ดิ อีโคโนมิสต์ จัดอันดับประเทศที่ความมั่งคั่งของมหาเศรษฐีจากธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากความใกล้ชิดกับรัฐมากที่สุดในโลก ไทยติดอันดับ 9 รัสเซียเป็นเบอร์ 1
วันที่ 14 มีนาคม 2565 ดิ อีโคโนมิสต์ เผยแพร่รายงานดัชนีทุนนิยมพวกพ้อง (The Crony-capitalism index) ประจำปี 2564 พร้อมกับระบุว่า การแพร่กระจายของลัทธิพวกพ้องในหลายประเทศผ่านการแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจ (rent-seeking) ของผู้ประกอบการที่สร้างสายสัมพันธ์กับรัฐ หรือ บุคคลในรัฐบาลเพื่อสร้างกำไรสูงสุดแก่ธุรกิจ เป็นพฤติกรรมที่กำลังกัดกินระบบเศรษฐกิจ
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
เพื่อวัดว่า มีการใช้ระบบนี้แพร่หลายในโลกมากน้อยแค่ไหน ดิ อีโคโนมิสต์จึงจัดหมวดหมู่แหล่งความมั่งคั่งหลักของมหาเศรษฐี 2,755 คน โดยแบ่งภาคธุรกิจ-อุตสาหกรรมเป็น 2 หมวด ได้แก่ หมวดที่อาศัยความสัมพันธ์แบบพวกพ้อง และหมวดไม่อาศัยความสัมพันธ์แบบพวกพ้อง
ทั้งนี้ หมวดที่อาศัยความสัมพันธ์แบบพวกพ้อง ยังรวมถึงกลุ่มที่มีความเสี่ยงจะมีพฤติกรรมแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจจากความใกล้ชิดกับรัฐบาล ในภาคธุรกิจธนาคาร กาสิโน การป้องกันประเทศ และอุตสาหกรรมใช้ทรัพยากรสาธารณะสร้างผลประโยชน์
พร้อมกับวัดเปรียบเทียบสัดส่วนของทั้ง 2 หมวด เทียบกับจีดีพีของแต่ละประเทศ
โดยพบว่า รัสเซียติดอยู่ในรายชื่ออันดับ 1 ที่มีมหาเศรษฐี 70% ใน 120 คน หรือ 84 คน ตรงกับคำจำกัดความทุนนิยมพวกพ้องของดิ อีโคโนมิสต์ ส่วนอเมริกามีเพียง 20% ขณะที่อินเดียมีมหาเศรษฐีกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นจาก 29% เป็น 43% ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของมหาเศรษฐีจากแวดวงเทคโนโลยีทั่วโลก ยังส่งผลให้ระดับความมั่งคั่งจากระบบพวกพ้องลดลง หากพิจารณาจากภาพรวมทั้งหมด
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในการจัดอันดับดังกล่าวพบว่า ในปี 2564 ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 9 ไต่ระดับขึ้นมาจากอันดับที่ 12 เมื่อปี 2559