“อีสท์ วอเตอร์” ฟ้องธนารักษ์ ลั่นสู้คดีถึงศาลปกครองสูงสุด

อีสท์ วอเตอร์

“อีสท์ วอเตอร์” หรือ EASTW ชี้กระบวนการยื่นฟ้อง “บอร์ดคัดเลือกกิจการท่อส่งน้ำภาคตะวันออก-ธนารักษ์” ต่อศาลปกครองขอคุ้มครองชั่วคราว “ยังไม่จบ” ลั่นพร้อมสู้ถึงศาลปกครองสูงสุด

วันที่ 19 เมษายน 2565 บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ EASTW แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ว่า ตามที่บริษัทได้ยื่นฟ้องคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนเพื่อบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก และกรมธนารักษ์ ต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2564 กรณีคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนฯ ซึ่งแต่งตั้งโดยกรมธนารักษ์ได้มีคำสั่งยกเลิกการคัดเลือกเอกชนเพื่อบริหารและ

ดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก และการออกประกาศ พร้อมหนังสือเชิญชวนฉบับใหม่ เป็นเหตุให้บริษัท ได้รับความเสียหาย และ ต่อมาบริษัท ได้ยื่นคำร้องขอศาลได้โปรดมีคำสั่งเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษาอีกครั้ง เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 นั้น

บริษัทขอแจ้งความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีที่มีการยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองกลางข้างต้นเพิ่มเติมว่า เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2565 ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งยกคำร้องขอเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษาซึ่งบริษัทได้ยื่นคำร้องไว้ต่อศาลเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 โดยในตอนหนึ่งของคำสั่งศาลดังกล่าวได้ระบุไว้ด้วยว่า แม้ต่อมาจะได้มีการลงนามเพื่อเข้าทำสัญญาในโครงการที่พิพาทแล้ว

แต่หากปรากฏว่าการดำเนินการเพื่อคัดเลือกคู่สัญญาไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลย่อมมีอำนาจเพิกถอนการดำเนินการดังกล่าวได้ และหากบริษัทเห็นว่าได้รับความเดือดร้อนเสียหายก็ชอบที่จะใช้สิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายต่อไปได้

ทั้งนี้ บริษัทขอเรียนว่าคำสั่งยกคำร้องดังกล่าว ไม่ใช่คำสั่งศาลในส่วนของคดีหลักที่บริษัทฟ้องขอให้เพิกถอนมติหรือคำสั่งยกเลิกการคัดเลือกเอกชนฯ ของคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนฯ และเพิกถอนการดำเนินการตามประกาศและหนังสือเชิญชวนฉบับใหม่ แต่อย่างใด

โดยในส่วนของคดีหลักดังกล่าวยังคงอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองกลาง และเมื่อศาลปกครองกลางมีคำสั่งหรือคำพิพากษาในส่วนของคดีหลักแล้ว คดียังสามารถอุทธรณ์และเข้าสู่กระบวนพิจารณโดยศาลปกครองสูงสุดต่อไปได้


นอกจากนี้ บริษัทขอเรียนว่า ระบบโครงข่ายน้ำ Water Grid ที่บริษัทใช้บริหารจัดการส่งน้ำในพื้นที่จังหวัดระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา มีความยาวรวมทั้งสิ้น 512 กิโลเมตร โดยเป็นท่อที่เช่าบริหารจากกรมธนารักษ์ 135.90 กิโลเมตร ส่วนท่อที่บริษัทลงทุนเอง 376.10 กิโลเมตร ซึ่งรวมถึงสถานีสูบน้ำอีกหลายแห่ง เชื่อมโยงแหล่งน้ำต้นทุนหลักในภาคตะวันออกนั้น ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของข้อพิพาทที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด ดังนั้น บริษัทยังคงประกอบธุรกิจได้ตามปกติ ประกอบกับบริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบโครงข่ายท่อส่งน้ำพร้อมก่อสร้างสถานีสูบน้ำเพิ่ม เพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้น ทั้งในปัจจุบันและอนาคต