สายการบินใหญ่ในสหรัฐประกาศยกเลิกข้อบังคับผู้โดยสาร พนักงาน ลูกเรือสวมใส่หน้ากากทั้งในสนามบินและบนเครื่องบิน หลังมีคำตัดสินของผู้พิพากษาศาลกลางออกคำสั่งยกเลิกข้อบังคับที่ออกโดยฝ่ายบริหารรัฐบาลไบเดน
วันที่ 20 เมษายน 2565 นิวยอร์กไทม์ส รายงานข่าวระบุว่า เมื่อวันจันทร์ที่ 18 เมษายน ที่ผ่านมา ผู้พิพากษาศาลกลาง สหรัฐอเมริกา ได้ออกประกาศ ยกเลิกข้อกำหนดเรื่องการสวมใส่หน้ากากอนามัยสำหรับเครื่องบิน รถไฟ รถประจำทาง และขนส่งสาธารณะอื่น ๆ ในสหรัฐ
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- KBANK ปรับโครงสร้างใหญ่ ลดจำนวนบอร์ด ตั้ง 4 เอ็มดีเป็น “ผู้จัดการใหญ่” มีผล 1 พ.ค.67
- NETA X ขายมิ.ย.นี้ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท หลัง MOU สรรพสามิต
พร้อมกันนั้น สายการบินหลัก ๆ ในสหรัฐต่างออกมาประกาศเช่นกันว่า พวกเขาจะหยุดการบังคับผู้โดยสารใส่หน้ากาก ซึ่งเป็นการยุติข้อบังคับที่ดำเนินมาเป็นเวลาเกือบ 2 ปี
ขณะที่ ฝ่ายบริหารของรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังอยู่ระหว่างการตัดสินใจว่า จะอุทธรณ์คำตัดสินของผู้พิพากษาศาลกลางครั้งนี้หรือไม่ หากจะไม่มีการใช้ข้อบังคับกำหนดให้สวมหน้ากากในที่สาธารณะแล้ว
แม้ว่าที่ผ่านมา สายการบินต่าง ๆ ในสหรัฐได้พยายามบอกว่า พวกเขาไม่ต้องการให้สวมหน้ากากที่สนามบิน หรือบนเที่ยวบินภายในประเทศ แต่เรื่องนี้ก็เป็นที่ถกเถียงในสหรัฐมานาน ทั้งในประเด็นเรื่องสิทธิเสรีภาพ และประเด็นเรื่องการควบคุมโรคระบาด
พลันที่คำตัดสินประกาศออกมา สายการบินใหญ่ ๆ ในสหรัฐได้ออกแถลงการณ์และคำประกาศเรื่องการสวมหน้ากากระหว่างโดยสารเครื่องบินและระหว่างอยู่ในอาคารผู้โดยสารทันที ดังนี้
อเมริกันแอร์ไลน์
ออกแถลงการณ์ว่า สายการบินจะจัดลำดับความสำคัญด้านสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงานและลูกค้าในช่วงการระบาดใหญ่ และสนับสนุนมาตรการของรัฐบาลกลางเพื่อชะลอการแพร่กระจายของไวรัสโคโรน่า แม้ว่าจะไม่ต้องสวมใส่หน้ากากที่สนามบินหรือบนเที่ยวบินภายในประเทศอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ลูกค้าและพนักงานของสายการบินสามารถเลือกจะใส่หน้ากากหรือไม่ ตามดุลพินิจของตนเอง
เซาท์เวสต์ แอร์ไลน์
ออกแถลงการณ์ระบุว่า คำพิพากษานี้เป็นการกระตุ้นพนักงานและลูกค้าให้ตัดสินใจอย่างดีที่สุด เพื่อสนับสนุนความเป็นอยู่ที่ดีของพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องการสวมใส่หน้ากากป้องกันโรค
อย่างไรก็ตาม มาตรการด้านความปลอดภัยในการควบคุมโรคบนเที่ยวบินยังเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และขึ้นอยู่กับการกรองอากาศมาตรการสูงที่ใช้บนเครื่องบินที่แต่ละสายการบินใช้ด้วย
เดลต้า แอร์ไลน์
มีคำประกาศในทำนองเดียวกันว่าจะหยุดบังคับใช้ข้อกำหนดการสวมใส่หน้ากาก และขอให้ผู้เกี่ยวข้องทุกส่วนมีความอดทน โดยจะมีการเปิดตัวการเปลี่ยนแปลงนโยบายในเร็ว ๆ นี้ พร้อมกับติดประกาศข้อความว่า “โปรดทราบว่าลูกค้า พนักงานสายการบิน และพนักงานหน่วยงานของรัฐบาลกลาง เช่น T.S.A. อาจได้รับข้อมูลนี้ในเวลาที่ต่างกัน”
“คุณอาจพบกับการบังคับใช้ที่ไม่สอดคล้องกันในช่วง 24 ชั่วโมงข้างหน้า เนื่องจากมีการสื่อสารข่าวนี้ในวงกว้างมากขึ้น ดังนั้นอย่าลืมแสดงความเข้าใจและความอดทนกับผู้อื่นที่อาจไม่ทราบว่าการบังคับใช้นั้น โดยการสื่อสารกับลูกค้า ป้ายและประกาศในสนามบินจะได้รับการอัพเดตเพื่อแชร์ว่าขณะนี้การสวมหน้ากากเป็นทางเลือกหรือไม่ ซึ่งอาจใช้เวลาไม่นาน”
ยูไนเต็ดแอร์ไลน์
ระบุว่า จะหยุดการบังคับใส่หน้ากากในเที่ยวบินภายในประเทศ แต่ยังคงบังคับใช้กับเที่ยวบินไปยังประเทศที่มีข้อบังคับใช้อยู่ และแม้พนักงานของสายการบินจะไม่ต้องสวมหน้าการอีกต่อไป และไม่จำเป็นต้องบังคับใช้ข้อกำหนดหน้ากากสำหรับผู้โดยสารที่ใช้บริการอีกแล้ว
แต่ลูกค้าและพนักงานก็ยังสามารถสวมใส่หน้ากากได้ หากพวกเขาเลือกทำเช่นนั้น เพราะหน่วยงานด้านการควบคุมโรคระบาดในสหรัฐก็ยังคงแนะนำให้สวมหน้ากาก ขณะใช้บริการขนส่งสาธารณะอยู่
อลาสก้า แอร์ไลน์
ออกคำแถลงถึงลูกค้าระบุว่า อลาสก้าให้ความสำคัญของช่วงเวลานี้และยินดีกับโอกาสที่จะ “เห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของคุณ” ในขณะที่ยอมรับว่าบางคนอาจยังรู้สึกขัดแย้งกับการเปลี่ยนแปลงนโยบาย
แม็ก ทิลเวลล์ รองประธานฝ่ายความปลอดภัยและการรักษาความปลอดภัยของสายการบินอลาสก้า กล่าวว่า เป็นเวลายาวนาน 24 เดือนที่มีการเปลี่ยนแปลงเกือบตลอดเวลา เป็นความภาคภูมิใจกับพนักงานแนวหน้าของสายการบินที่สามารถจัดการทุกจุด โดยมุ่งเน้นที่ความปลอดภัยและความเอาใจใส่ นอกจากนี้ยังต้องขอบคุณลูกค้าที่ให้ความเกรงใจ อดทน และยืนเคียงข้างสายการบิน
เจ็ตบลูแอร์เวย์
ได้ออกประกาศการเปลี่ยนแปลงในแถลงการณ์สั้น ๆ ว่า “ตอนนี้สวมหน้ากากเป็นทางเลือก” แม้ว่าลูกค้าและลูกเรือยังคง “ยินดี” ให้สวมหน้ากากในอาคารผู้โดยสารและบนเครื่องบินของสายการบิน
สปิริตแอร์ไลน์
ประกาศว่า ตอนนี้หน้ากากเป็นทางเลือกสำหรับการแสดงสปิริต และสายการบินเข้าใจดีว่าผู้โดยสารบางคนอาจต้องการสวมหน้ากากอนามัยบนเที่ยวบินต่อไป และนั่นก็เป็นเรื่องปกติภายใต้นโยบายทางเลือกของเรา พร้อมกับย้ำว่า สำหรับผู้โดยสารที่เดินทางระหว่างประเทศ โปรดอย่าลืมตรวจสอบข้อกำหนดของสนามบินแต่ละประเทศก่อนเดินทาง
ฟรอนเทียร์แอร์ไลน์
ระบุว่า จะหยุดการบังคับใส่หน้ากากบนเครื่องบิน แต่เตือนว่าอาจยังคงต้องใช้ที่สนามบินบางแห่งและบางเขต ดังนั้นทั้งลูกค้าและทีมงานของสายการบินควรปฏิบัติตามกฎการสวมใส่หน้ากากภายในสถานที่ต่าง ๆ ที่อาจจำเป็นต้องใช้ต่อไป
เนื่องจากศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคสหรัฐ (CDC) ระบุว่า ไม่ว่าคำสั่งสวมใส่หน้ากากจะมีผลบังคับหรือไม่ก็ตาม บุคคลควรยังคงสวมหน้ากากในสถานที่ภายในอาคารต่อไป
ก่อนจะมีคำตัดสินเลิกบังคับสวมหน้ากากในสหรัฐ
ขณะที่ บีบีซี รายงานว่า คดีนี้เกิดขึ้นครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม 2564 โดยกลุ่มอนุรักษนิยมที่ชื่อ กองทุนปกป้องเสรีภาพสุขภาพ หรือ Health Freedom Defense Fund (HFDF) และชาวฟลอริดา 2 คน ซึ่งยื่นฟ้องต่อศาลว่า การสวมหน้ากากเพิ่มความวิตกกังวลและทำให้เสียขวัญ
โดยฝ่ายโจทก์ระบุว่า คำสั่งของศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคสหรัฐ (CDC) เป็นการกระทำ “ตามอำเภอใจและไม่แน่นอน” เพราะให้ข้อยกเว้นแก่กลุ่มบางกลุ่ม เช่น เด็กอายุต่ำกว่าสองปี แต่ไม่ใช่สำหรับคนอื่นๆ
ขณะที่ในการพิจารณาคดีของผู้พิพากษาแคทลีน คิมบอล มิเชลล์ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พบว่า CDC ได้ใช้สิ่งที่เรียกว่า “ข้อยกเว้นที่เป็นเหตุเป็นผล” อย่างไม่เหมาะสม ทำให้หน่วยงานสามารถละเลิกประกาศสาธารณะและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคำสั่งนี้ได้
ผู้พิพากษามิเชลล์เขียนคำตัดสินใจไว้ด้วย เนื่องจากระบบของเราไม่อนุญาตให้หน่วยงานต่าง ๆ กระทำการอย่างผิดกฎหมาย แม้กระทั่งเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ ศาลจึงประกาศว่า (การบังคับให้สวมหน้ากาก) ไม่ชอบด้วยกฎหมายและให้ยกเลิกคำสั่งดังกล่าว
ไม่นานหลังจากคำตัดสินของศาลกลางประกาศออกมา หน่วยงานความปลอดภัยด้านการขนส่ง ซึ่งดูแลการรักษาความปลอดภัยที่สนามบินของสหรัฐยืนยันว่าจะไม่บังคับใช้คำสั่งสวมหน้ากากอีกต่อไป