วิกฤตพลังงานบีบชาวอังกฤษ ใช้ชีวิตบน “คมมีดทางการเงิน”

วิกฤตพลังงาน
คอลัมน์ : ระดมสมอง
ผู้เขียน : ณิศรา วาดี 
Bnomics : ธนาคารกรุงเทพ

สหราชอาณาจักร หรือ UK เผชิญกับวิกฤตค่าครองชีพมาอย่างยาวนาน และฝันร้ายนี้ดูเหมือนว่าจะยังไม่จบลงง่าย ๆ เมื่อฤดูหนาวกำลังคืบคลานเข้ามาส่งผลให้วิกฤตพลังงานไปซ้ำเติมความโชคร้ายที่ผู้คนต้องพบเจออยู่แล้ว

กลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อย พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว และผู้สูงอายุ ที่เป็นกลุ่มเปราะบางได้รับผลกระทบจากวิกฤตค่าครองชีพในครั้งนี้ อาจได้รับผลกระทบรุนแรงขึ้น เพราะกลุ่มธุรกิจก็แบกรับวิกฤตค่าใช้จ่ายในการทำธุรกิจที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งอาจไปกดดันให้ราคาสินค้ายิ่งแพงขึ้นไปอีก และซ้ำเติมวิกฤตค่าครองชีพของประชาชน

Ofgem องค์กรของรัฐบาลอังกฤษที่มีหน้าที่กำหนดเพดานค่าไฟฟ้า กล่าวว่า ค่าก๊าซและค่าไฟฟ้าในครัวเรือนทั่วไปในสหราชอาณาจักรจะเพิ่มขึ้นจาก 1,971 ปอนด์ต่อปี เป็น 3,549 ปอนด์ต่อปี ตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไป

ส่งผลให้ครัวเรือนที่มีรายได้น้อยจะได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากราคาพลังงาน เนื่องจากก๊าซและไฟฟ้ามีสัดส่วนค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น โดยการเพิ่มขึ้นจะทำให้รายได้ครัวเรือนลดลง 2.7% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงมาก

จากรายงานของ University of York พบว่า 2 ใน 3 ของครัวเรือนในสหราชอาณาจักรอาจตกอยู่ในความยากจนด้านเชื้อเพลิงภายในเดือนมกราคม 2023

“ความยากจนด้านเชื้อเพลิง” หมายถึงครัวเรือนที่ต้องเผชิญกับต้นทุนด้านพลังงานสูงเกิน 10% ของรายได้สุทธิของครัวเรือน

ถึงแม้จะมีนโยบายช่วยเหลือจากรัฐบาล แต่ครัวเรือนที่มีรายได้ปานกลางยังคงต้องดิ้นรนเพื่อหาเงินมาชำระค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงที่สูง และอาจนำไปสู่การที่ครัวเรือนต่าง ๆ ต้องลดการบริโภคด้านอื่น ๆ ลง เช่น อาหาร หรือชะลอการซื้อสินค้าที่ไม่จำเป็น

จากรายงานแสดงให้เห็นว่า 18 ล้านครัวเรือน หรือเทียบเท่ากับประชากรอังกฤษ 45 ล้านคน จะต้องพยายามหาทางหาเงินให้ได้ หลังจากที่คาดการณ์ว่าราคาเชื้อเพลิงจะปรับเพิ่มขึ้นในเดือนตุลาคม 2022 และมกราคม 2023

วิกฤตที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ไม่เพียงแต่คุกคามผู้ที่เปราะบางที่สุด แต่ยังรวมถึงครอบครัวที่มีรายได้ปานกลางและผู้รับบำนาญทั่วประเทศ ที่กำลังจะหมดความหวังในการผ่านพ้นฤดูหนาวนี้ไปได้ด้วยดี โดยกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตพลังงานมากที่สุดก็คือ

– พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีลูกตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป จะได้รับผลกระทบ 90.4%

– ครอบครัวที่ได้รับบำนาญ จะได้รับผลกระทบ 86.4%

– ครอบครัวที่มีลูก 2 คน จะได้รับผลกระทบ 77.4%

– คนโสดที่ได้รับบำนาญ จะได้รับผลกระทบ 74.8%

บริษัทต่าง ๆ ในสหราชอาณาจักรต้องเผชิญกับ “วิกฤตต้นทุนในการทำธุรกิจ” ซึ่งเป็นผลมาจากค่าพลังงานเชิงพาณิชย์มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 4 เท่าในฤดูใบไม้ร่วงนี้ โดยบริษัทในสหราชอาณาจักรส่วนใหญ่จะมีการเจรจาครั้งใหม่เกี่ยวกับอัตราค่าไฟฟ้าและก๊าซในเดือนตุลาคมนี้

จากการประมาณการโดยที่ปรึกษา Cornwall Insight แสดงให้เห็นว่า ธุรกิจที่กำลังมองหาสัญญาใหม่ในฤดูใบไม้ร่วงนี้จะต้องจ่ายค่าไฟฟ้ามากกว่า 4 เท่าของราคาที่เคยจ่ายในปี 2020

โดย Cornwall Insight ได้คำนวณว่าธุรกิจจะต้องจ่าย 634 ปอนด์ต่อเมกะวัตต์ชั่วโมงสำหรับไฟฟ้าในฤดูใบไม้ร่วงนี้ ซึ่งมากกว่าราคาในปี 2020 ถึง 4 เท่า และมากกว่า 2 เท่าของราคาของปีที่แล้ว

โดยมีข้อมูลระบุว่า ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว บริษัททั่วไปในลอนดอนที่มีการใช้พลังงานต่อปีเฉลี่ย 30 เมกะวัตต์ชั่วโมง โดยคาดว่าค่าไฟฟ้าประจำปีนี้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นจากเดิมราว ๆ 4,700 ปอนด์ เป็นมากกว่า 21,200 ปอนด์ และค่าน้ำมันจะเพิ่มขึ้นจาก 1,350 ปอนด์ เป็น 7,050 ปอนด์ต่อปี ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่า 5 เท่าเมื่อเทียบในช่วงเวลาเดียวกัน

เมื่อต้นทุนค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงเกินกว่าที่ธุรกิจจะแบกรับก็นำไปสู่การตัดสินใจครั้งสุดท้าย นั่นคือ “การปิดกิจการ”

โดยจากข้อมูลล่าสุดพบว่า บริษัทประมาณ 1,800 แห่งในอังกฤษและเวลส์ ได้มีการจดทะเบียนล้มละลายในเดือนกรกฎาคม เพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2019 ซึ่งเป็นปีก่อนเกิดโรคระบาด

ฤดูหนาวที่กำลังใกล้เข้ามานี้อาจเป็นจุดจบของธุรกิจจำนวนมาก หากภาคธุรกิจไม่สามารถจัดการกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการทางธุรกิจได้

สุดท้ายแล้วอาจจะเห็นการที่ภาคธุรกิจส่งต่อต้นทุนที่เกิดขึ้นไปยังผู้บริโภค ซ้ำเติมให้วิกฤตค่าครองชีพรุนแรงขึ้น ซึ่งนอกจากราคาพลังงานจะไปกระทบต่อรายได้ และค่าใช้จ่ายด้านพลังงานโดยตรงแล้ว อาจทำให้ผู้คนถูกบีบให้ลดค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าอาหาร หรือค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพ

สิ่งเหล่านี้จะเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก สำหรับกลุ่มคนที่มีรายได้น้อยและกลุ่มผู้สูงอายุ