ค้าปลีก หวั่นโค้งท้ายยอดแป้ก พิษเงินเฟ้อ-โปรฯแรงสู้ไม่ไหว

ค้าปลีก
คอลัมน์ : Market Move

เทศกาลช็อปปิ้งท้ายปี 2565 นี้ บริษัทวิจัยและผู้เชี่ยวชาญในวงการค้าปลีกสหรัฐต่างเห็นตรงกันว่า แบรนด์และร้านค้าจะอัดโปรโมชั่นลดราคาหนักหน่วงเป็นประวัติการณ์ เพื่อระบายสินค้าที่ยังค้างสต๊อกอยู่ให้หมดก่อนจบเทศกาลช็อปปิ้ง โดยบางหมวดราคาอาจลดลงอีกหลายสิบเปอร์เซ็นต์ จนอาจเรียกได้ว่าเป็นโอกาสทองของนักช็อปที่จะได้สินค้าราคาถูกเป็นพิเศษ

แต่โปรโมชั่นเหล่านี้อาจไม่ได้ผลมากเท่ากับปีก่อน ๆ เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ที่บีบให้ผู้บริโภคต้องชะลอการจับจ่าย แม้จะมีดีลเด็ดแห่งปีอยู่ตรงหน้าก็ตาม

“ซีเอ็นบีซี” รายงานว่า บริษัทวิจัย อโดบี อนาไลติก คาดว่า ช่วงเทศกาลช็อปปิ้งส่งท้ายปี 2565 นี้ ค้าปลีกสหรัฐจะเต็มไปด้วยโปรโมชั่นร้อนแรงเป็นประวัติการณ์ในรอบ 5 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2560 ที่เป็นปีแรกที่บริษัทเริ่มเก็บข้อมูล

โดยอาจได้เห็นการดัมพ์ราคาลงอีกมากกว่า 20% จากราคาปัจจุบันที่ลดลงมาจากช่วงกลางปีแล้วหลังทั้งแบรนด์และผู้ค้าปลีกพยายามระบายสต๊อกสินค้าที่ค้างอยู่ให้หมดก่อนที่สินค้ารุ่นใหม่จะออกมา

ตัวอย่างเช่น ในกลุ่มสินค้าไอทีอย่างอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่คาดว่าจะลดราคาถึง 32% ตามด้วยของเล่นที่อาจลดได้ถึง 22% ส่วนทีวีมีลุ้นลดราคาระดับ 19% ในขณะที่เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านอาจลดประมาณ 18% ซึ่งนับว่าเป็นการลดราคาแรงสุด

สอดคล้องกับความเห็นของ “มาแชล โคเฮน” หัวหน้าที่ปรึกษาของบริษัทวิจัยการตลาดเอ็นพีดีกรุ๊ป ที่กล่าวว่า ดีลลดราคาช่วงคริสต์มาสปีนี้จะเป็นที่จดจำ

อย่างไรก็ตาม แม้จะเต็มไปด้วยปัจจัยหนุนทั้งผู้ค้าที่พร้อมถล่มโปรฯหั่นราคาเพื่อระบายสต๊อก และสต๊อกสินค้าที่มีพร้อมสรรพสำหรับขาย ตรงข้ามกับช่วงปีที่แล้วซึ่งการปิดโรงงานในจีน-เวียดนาม และการขาดตู้คอนเทนเนอร์ทำให้ทุกรายขาดสินค้าจนบางรายต้องยอมหันพึ่งการขนส่งทางเครื่องบิน

แต่ปีนี้อาจกลายเป็นฝั่งลูกค้าอาจที่ไม่พร้อมควักกระเป๋าเพื่อซื้อสินค้าเหล่านี้แทน เนื่องจากหลายปัจจัย โดยนอกภาระค่าใช้จ่ายซึ่งต่อเนื่องจากปัญหาเงินเฟ้อที่ทำสถิติสูงสุดในรอบ 4 ทศวรรษ ไม่ว่าจะเป็นค่าอาหาร ค่าเช่าบ้าน ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพและอื่น ๆ

ขณะเดียวกันการเปิดให้สามารถเดินทางทั้งในและนอกประเทศได้อย่างอิสระในรอบ 2 ปี ยังดึงดูดให้ผู้บริโภคหันไปใช้จ่ายกับการเดินทางท่องเที่ยว และความบันเทิงมากกว่าการจับจ่ายซื้อสินค้าต่าง ๆ

ด้วยเหตุแม้จะมีมหกรรมลดราคารุนแรงในหลายกลุ่มสินค้า แต่บริษัทผู้ให้คำปรึกษาทางธุรกิจและนักวิเคราะห์หลายรายจึงมองว่า เทศกาลช็อปปิ้งปลายปีนี้อาจกร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ รวมถึงเม็ดเงินที่เกิดขึ้นอาจไม่มากอย่างที่เห็น เนื่องจากต้องนำอัตราเงินเฟ้อมาคำนวณเพื่อให้สามารถเปรียบเทียบกับปีก่อน ๆ ได้

บริษัทที่ปรึกษาทางธุรกิจ เบรนดแอนด์โค พยากรณ์ว่า เม็ดเงินในวงการค้าปลีกช่วงเทศกาลปีนี้จะเติบโตจากปีที่แล้วเพียง 7.5% และเมื่อนำเงินเฟ้อมาคำนวณจะทำให้ตัวเลขการเติบโตจริงอยู่ที่ 1%-3% เท่านั้น

เป็นไปในทิศทางเดียวกับการประเมินของเอลิซ พาร์ทเนอร์ บริษัทผู้ให้คำปรึกษาอีกรายที่คาดว่า ยอดขายของบรรดาค้าปลีกจะเติบโต 4%-7% และเมื่อคำนวณเงินเฟ้อแล้วจะเท่ากับการหดตัวหนักถึง 8.2%

“เป็นธรรมดาที่ผู้บริโภคจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องปากท้องและครอบครัวก่อน ดังนั้นเม็ดเงินจะไหลไปยังค่าใช้จ่ายของลูก ๆ อาหารและสุขภาพทั้งของคนและสัตว์เลี้ยงก่อนที่จะมาใช้จ่ายกับของขวัญต่าง ๆ” ลีโอ เฟเลอร์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ของบริษัทวิจัยนูเมเรเตอร์ กล่าว

นอกจากนี้ สินค้าหลายอย่างที่ร้านค้านำมาลดราคาอาจไม่ใช่สิ่งที่ผู้บริโภคต้องการแล้ว ตัวอย่างเช่น คอมพิวเตอร์ ซึ่งดีมานด์ลดลงอย่างต่อเนื่องจนหลายแบรนด์พากันลดกำลังผลิตลงไปตาม ๆ กัน

ในทางตรงกันข้ามสินค้าความงามกลับมีการลดราคาน้อยลงเมื่อเทียบกับปี 2564 โดยตามข้อมูลของบริษัทวิจัยพิทดาต้า พบว่า ระดับการจัดโปรฯลดราคาในช่วง 2 สัปดาห์แรกของเดือนกันยายนของเชนร้านความงาม อัลตราบิวตี้ ที่มีสาขากว่า 1,300 สาขาใน 50 รัฐของสหรัฐอเมริกานั้นเท่ากับ-ลดลงจากปีที่แล้วเล็กน้อย

ทั้งนี้คาดว่าเป็นเพราะช่วงที่ผ่านมา ผู้บริโภคยังใช้จ่ายกับการดูแลตนเองแม้จะมีเงินในกระเป๋าน้อยลงก็ตาม สะท้อนจากยอดขายสินค้าอย่างลิปสติกและโลชั่น ที่ยังคงไปได้ดีสวนทางกับสินค้าฟุ่มเฟือยอื่น ๆ

จากนี้ต้องรอดูว่า ผู้ค้าปลีกในสหรัฐจะมีวิธีการอย่างไรเพื่อจูงใจผู้บริโภคให้ยอมควักกระเป๋าจับจ่ายสินค้าท่ามกลางภาระค่าใช้จ่ายจากสภาพเงินเฟ้อ และแรงดึงดูดกระแสการเดินทางท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ