คอลัมน์ : ชั้น 5 ประชาชาคิ ผู้เขียน : สาโรจน์ มณีรัตน์
“เมื่อใดที่ผึ้งหมดไปจากพื้นผิวโลก เมื่อนั้นมนุษย์จะเหลือเวลาเพียง 4 ปีที่มีชีวิต เพราะจะไม่มีการถ่ายเรณูอีกต่อไป ดังนั้น โลกใบนี้จะไม่มีพืช ไม่มีสัตว์ และไม่มีมนุษย์”
คำกล่าวข้างต้นเป็นคำพูดของ “อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์” อัจฉริยะบุคคลสำคัญของโลกทางด้านฟิสิกส์ และวิทยาศาสตร์ ทั้งนั้น เพราะเขามองว่า “ผึ้ง” เป็นสัญญาณเตือนภัยทางธรรมชาติที่เข้าไปหลอมรวมกับทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นพืช, สัตว์, อากาศ, ดิน, น้ำ, ลม และมนุษย์ทั่วไป
- เปิด 10 อันดับที่ดินต่างจังหวัด แพงสุดในประเทศไทย
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 16 พ.ค. ย้อนหลัง 10 ปี
- เปิดค่าซ่อม “รถอีวี vs รถใช้น้ำมัน” แพงกว่ากันเท่าไร
ดังนั้น การที่ “ไอน์สไตน์” ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับปรากฏการณ์ของฝูงผึ้งที่กำลังจะหายไปจากโลก จึงเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจทีเดียว เพราะอย่าลืมว่าเขามีชีวิตอยู่ระหว่างปี 2422-2498 ระหว่างนี้เขาค้นพบทฤษฎีต่าง ๆ มากมาย ทั้งทางด้านทฤษฎีสัมพัทธภาพ, ทฤษฎีควอนตัม
กล่าวกันว่า ถ้านับเวลาจากที่ “ไอน์สไตน์” เสียชีวิตในปี 2498 เวลาได้ล่วงเลยมากว่า 68 ปี เป็น 68 ปีที่มนุษย์อย่างเรา ๆ คงพอเห็นความเปลี่ยนแปลงบนโลกใบนี้ ไม่ว่าภาวะเรือนกระจกที่เกิดขึ้น, สภาวะโลกร้อน หรือธารน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเหนือที่กำลังละลาย รวมไปถึงสภาพภูมิอากาศที่ผันแปรทั่วทุกมุมโลก ไม่รวมแม้แต่ประเทศไทย ที่ฤดูกาลสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียน เสียจนทำให้มนุษย์อย่างเรารู้สึกว่า…นี่คือฤดูกาลไหนกันแน่
ผลตรงนี้ จึงทำให้ “โรเบิร์ต วัตสัน” หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ กระทรวงสิ่งแวดล้อม ของสหราชอาณาจักรมองว่า…หากโลกประสบปัญหาเสียจนมนุษย์ สัตว์ สิ่งของ ไม่สามารถอยู่บนโลกใบนี้ได้ สิ่งหนึ่งที่ควรทำ ทั้งในฐานะนักวิทยาศาสตร์ และเกษตรกร คือควรทิ้งรอยเท้าไว้ให้นักสิ่งแวดล้อมรุ่นอนาคตทราบว่าคนรุ่นเราไม่ได้ทำให้ดินเสื่อมลง หรือทำให้น้ำเสื่อมลง และเราไม่ได้ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติในระบบนิเวศเกิดความผันแปรจนเกิดหายนะ
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น เกิดจากความละโมบของมนุษย์บางคนต่างหาก แต่กระนั้น ก็มีมนุษย์บนโลกใบนี้อีกหลายสิบล้านคนที่ดำรงตนในการทำธุรกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไป
“วอร์เรน บัฟเฟตต์” มหาเศรษฐีชาวอเมริกันระดับโลกคือหนึ่งในนั้น เพราะเขาคิดว่าการดำเนินธุรกิจ ไม่จำเป็นจะต้องรุกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ช้า ๆ ก็ได้
“ผมมีความอดทนในการทำธุรกิจ ไม่เร่งรีบ หรือหักโหมมากเกินไป ผมค่อย ๆ ทำกำไรทีละเล็กทีละน้อย และสะสมมูลค่าไปเรื่อย ๆ”
นอกจากนั้น “บัฟเฟตต์” ยังพูดถึงวิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจว่า…ผมเชื่อว่าวิสัยทัศน์ และความอดทนในการทำธุรกิจ เป็นสิ่งสำคัญมากที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ
“เพราะตลอดชีวิต ผมไม่เคยทะเยอทะยาน หรือตั้งเป้าหมายมากเกินไป ผมจะไม่พยายามกระโดดข้ามที่สูง 7 ฟุต แต่ผมจะมองหาคานไม้ที่สูง 1 ฟุต เพื่อให้สามารถเดินข้ามได้อย่างสบาย ๆ”
เพราะ “บัฟเฟตต์” มองว่า…การส่งต่อโอกาสให้กับคนที่ไม่มีโอกาสเป็นเรื่องสำคัญ ทั้งยังจะทำให้เกิดการกระจายความหวังไปสู่มนุษย์บนโลกใบนี้
ที่ไม่จำกัดเฉพาะแค่สหรัฐอเมริกา
หากมนุษย์ทุกคนที่รู้สึกว่ามีความหวัง และมีความเชื่อว่า…หากโลกนี้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ จนทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อระบบนิเวศ จะทำให้มนุษย์ สัตว์ สิ่งของไม่สามารถทนอยู่บนโลกใบนี้ได้
ซึ่งเหมือนกับ “ผึ้ง” ที่มันก็เชื่อเช่นนั้น