
คอลัมน์ : ชั้น 5 ประชาชาติ ผู้เขียน : อมร พวงงาม
วันก่อนนั่งฟัง สภาอุตฯ แถลงสถิติการผลิตรถยนต์ การขายในประเทศ รวมทั้งส่งออกของบ้านเรา
ฟังแล้วหดหู่ “ร่วง” ไม่เป็นท่าทั้งอุตสาหกรรม
ตัวเลขสะท้อนอะไรหลายอย่าง ทั้ง “ภาวะเศรษฐกิจ-กำลังซื้อ-รวมถึงแนวคิด และผลงานของหน่วยงานรัฐ” ช่วง 4 เดือน (มกราคม-เมษายน 2567) ที่ผ่านมาประเทศไทยผลิตรถยนต์ได้แค่ 5 แสนคัน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนเกือบ 20%
ส่วนการขายก็แย่มาก ทำได้ราว ๆ 2 แสนคัน หดตัวไปเกือบ 25% หนักสุดเป็นรถปิกอัพ ขายน้อยลงเกือบ 50% ขณะที่ส่งออกยังพอกล้อมแกล้ม รถยนต์สำเร็จรูปหายไปเพียงแค่ 3%
ขยับเข้าไปดูไส้ในเฉพาะเดือนเมษายน 2567 ถึงกับกุมขมับ ยอดผลิตหล่นลงไปถึง 35% ขายลดลง 20% ส่งออกดิ่ง 26% เรียกว่าทรุดหนักที่สุดในรอบ 32 เดือน นับจากที่บ้านเราเจอวิกฤตโควิด
ฉุดเม็ดเงินภาษีในบ้านเราหายไป 7 เดือนหายไป 1.8 หมื่นล้านบาท
ปัจจัยที่ทำให้ตลาดรถยนต์ย่ำแย่แบบนี้ สภาอุตฯ ระบุว่า ตลาดแข่งขันสูง หนี้เสียเยอะ แบงก์เข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ แถมยังมีรถ EV เข้ามาสร้างความปั่นป่วนในตลาด ตั้งแต่ราคาขาย สร้างปัญหาดีลเลอร์สวิตช์แบรนด์ ย้ายค่ายกันอุตลุด รุนแรงถึงขนาดกลุ่มทุนต่างชาติบางกลุ่ม ทั้งมาเลย์ สิงคโปร์ ตัดสินใจทิ้งแบรนด์ที่ดูมีแนวโน้มเข็นไม่ขึ้น
อีกเรื่องที่มองข้ามไม่ได้เด็ดขาด คือการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ที่ล่าช้า ทำให้กำลังซื้ออ่อนแอลงมาก
เวลานี้ทุกฝ่ายหวังว่า ช่วงเวลาที่เหลือจะมีการใช้จ่ายกันอย่างรวดเร็ว และงบประมาณปี 2568 ถ้ารัฐบาลทำให้เริ่มใช้ได้ตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมนี้ ก็น่าจะทำให้ค่ายรถยนต์ลืมตาอ้าปากกันได้บ้าง
ย้อนกลับไปแงะตัวเลขการผลิตรถยนต์ช่วง 4 เดือนแรกของปี พบว่ารถยนต์นั่งโดยเฉพาะรถที่ใช้เครื่องยนต์เพียว ๆ หายไปเกือบ 30%
ไม่แปลกครับ เพราะรถกลุ่มนี้ถูกทดแทนด้วยรถ EV ที่นำเข้ามาจำหน่ายจากจีน ยังไงเสีย ตัวเลขรถกลุ่มนี้ยังไม่ดีขึ้นแน่ ๆ จนกว่ารถ EV จะเริ่มผลิตในบ้านเราตามที่ได้คอมมิตไว้กับบีโอไอ
แต่ในความเลวร้ายยังมีเรื่องน่ายินดี ปรากฏว่ารถกลุ่มไฮบริดเติบโตขึ้นเกือบ 70% รถกลุ่มนี้เริ่มขายดีขึ้นทั้งในประเทศและส่งออก เหตุผลเพราะค่ายญี่ปุ่นหลายเจ้าเริ่มผลิตรถกลุ่มไฮบริดในรุ่นที่มีซีซีต่ำลง
เมื่อก่อนรถกลุ่มนี้ใช้ทั้งเครื่องยนต์ผสมมอเตอร์ไฟฟ้า ราคาโดดขึ้นไปเกือบ 2 ล้าน แต่เดี๋ยวนี้จ่ายแค่ 7 แสนบาทก็เป็นเจ้าของอีโคคาร์ไฮบริดได้แล้ว จุดขายยังเป็นราคาที่จับต้องได้ง่าย และไม่ต้องกังวลเรื่องหาที่ชาร์จไฟเหมือนรถ EV
กลุ่มยานยนต์ สภาอุตฯ ยังวิเคาะห์เพิ่มเติมว่า หากเปรียบเทียบอุตฯรถยนต์ไทยกับเพื่อนบ้านอาเซียน ให้จับตาดูปีนี้ตำแหน่งอาจ “เปลี่ยนแปลง”
อินโดนีเซียยังครองแชมป์ที่หนึ่งในอาเซียด้วยยอดขายในประเทศที่เยอะกว่าจากจำนวนประชากรที่มากกว่าประเทศไทย แต่ไตรมาสแรกที่ผ่านมา “มาเลเซีย” ซึ่งเคยรั้งอันดับ 3 แซงหน้าเราขึ้นเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เสียแล้ว ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในภูมิภาค
เท่านั้นยังไม่น่าห่วงเท่า “ฟิลิปปินส์” ซึ่งอันดับห่างไกลเราพอสมควร กำลังได้ “สปริงบอร์ด” ชิ้นใหญ่ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีมาก ๆ จีดีพีของฟิลิปปินส์ปีนี้ขยับขึ้นไปอยู่ที่ 5% กว่า ๆ มีการประเมินว่าตลาดในประเทศปีนี้น่าจะทะลุ 8 แสนคัน
พร้อมขยับขึ้นมาแซงหน้าไทย ซึ่งมีเป้าขายในประเทศปีนี้แค่ 7.5 แสนคัน ดันไทยหล่นไปอยู่อันดับ 4 โดยที่ตลาดปิกอัพ ซึ่งเป็นโปรดักต์แชมเปี้ยนตัวแรกของไทย ยังขาดการดูแลเอาใจใส่จากทุกภาคส่วน