มองอนาคตส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง 9 หมื่นล้าน ไทยบุก 3 ตลาดหลัก “สหรัฐ-อิตาลี-ญี่ปุ่น”

pet_family
คอลัมน์ : นอกรอบ

เทรนด์นิยมเลี้ยงสัตว์เสมือนเป็นสมาชิกในครอบครัวกำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ตามความนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงในหลายประเทศทั่วโลก

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ในปี 2024 มูลค่าส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยจะอยู่ที่ 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 9 หมื่นล้านบาท) ขยายตัว 19.5% เทียบกับปีก่อนที่หดตัวถึง 15.0%

โดยมีปัจจัยสำคัญจาก 1.พฤติกรรมนิยมเลี้ยงสัตว์เสมือนเป็นสมาชิกในครอบครัว (Pet Humanization) ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะประเทศที่มีกำลังซื้อสูงและพร้อมที่จะจ่ายเพื่อสัตว์เลี้ยง อาทิ สหรัฐและสหภาพยุโรป

นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ทั้งจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น เช่น ญี่ปุ่น เยอรมนี รวมถึงสภาพสังคมที่มีขนาดครอบครัวเล็กลง ไม่แต่งงานหรือมีบุตรลดลง เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ส่งผลให้ความนิยมเลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้น

ไทยผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง อันดับ 4 ของโลก

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า การเติบโตของมูลค่าส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทย จะเป็นการเติบโตทั้งในฝั่งของปริมาณความต้องการที่ทยอยฟื้นตัวจากฐานที่ต่ำ ประกอบกับความนิยมเลี้ยงสัตว์ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสสำหรับการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทย เนื่องจากไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง อันดับ 4 ของโลก

และมีความได้เปรียบด้านวัตถุดิบที่ใช้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นผลพลอยได้ของอุตสาหกรรมเกษตรและประมงที่มีอยู่ในประเทศ เช่น แป้ง ธัญพืช เศษอาหารทะเล และฝั่งของราคาที่ขยับขึ้นตามต้นทุนการผลิต อาทิ ค่าแรงงาน บรรจุภัณฑ์ ขนส่ง ไฟฟ้า

ADVERTISMENT

โดยตลาดหลักที่ยังเป็นตัวผลักดันการเติบโตของการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงในปี 2024 ได้แก่ สหรัฐและอิตาลี (คิดเป็นสัดส่วน 34% ของมูลค่าการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง) ซึ่งน่าจะกลับมาฟื้นตัวได้หลังจากหดตัวสูงในปีก่อน จากปริมาณสต๊อกสินค้าเหลือคงค้างในระดับสูงได้ปรับลดลง และความต้องการทยอยปรับขึ้น

ญี่ปุ่น (คิดเป็นสัดส่วน 16% ของมูลค่าการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง) คาดว่า จะยังเติบโตต่อเนื่อง แต่อยู่ในทิศทางที่ชะลอตัว จากความต้องการสินค้าที่มีคุณภาพ และราคาต่อหน่วยสูงขึ้น จากความใส่ใจเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพสัตว์มากขึ้น แม้จำนวนสัตว์เลี้ยงในญี่ปุ่นจะลดลง

ADVERTISMENT

“อังกฤษ-นิวซีแลนด์” ตลาดรองมาแรง

ขณะที่ตลาดรองแม้จะยังมีส่วนแบ่งตลาดน้อย แต่มีศักยภาพเติบโตต่อเนื่องอย่างน่าสนใจ ประกอบด้วย

อังกฤษ เป็นตลาดที่น่าจะเติบโตต่อเนื่อง จากความต้องการอาหารสัตว์ในประเทศที่ขยายตัวดี ตามจำนวนสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะสุนัข ซึ่งมีมากที่สุดในแถบยุโรป

นิวซีแลนด์ ไทยส่งออกได้เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดนอกจากอานิสงส์จากข้อตกลงทางการค้า FTA ไทย-นิวซีแลนด์ ที่ทำให้ได้เปรียบด้านราคาแล้ว นิวซีแลนด์ยังเป็นประเทศที่เลี้ยงสัตว์ ในอัตราเฉลี่ยต่อครัวเรือนสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก ที่เอื้อต่อการขยายตลาดส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทย

3 ปัจจัยเสี่ยงส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง

แม้การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยปี 2024 อาจกลับมาฟื้นตัว แต่ระยะข้างหน้ายังต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่สำคัญ 3 ประเด็น คือ

การแข่งขันกับคู่แข่งที่รุนแรง แม้ในตลาดหลักไทยจะครองตำแหน่งแหล่งนำเข้า อันดับ 1 แต่คู่แข่งอื่น ๆ ก็มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะคู่แข่งที่มีความได้เปรียบด้านราคาและระยะขนส่งที่ใกล้ เช่น ส่วนแบ่งตลาดของเม็กซิโกและกัมพูชาที่เติบโตต่อเนื่องติดกัน 4 ปีในตลาดสหรัฐ ส่วนตลาดส่งออกไปญี่ปุ่น คู่แข่งอย่างเกาหลีใต้ ในปี 2023 ก็มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มสูงขึ้นเป็น 2 เท่าจากปี 2021 ขณะที่ไทยมีสัญญาณของต้นทุนการผลิตที่ปรับขึ้น จึงทำให้ไทยอาจเสียเปรียบการแข่งขันด้านราคา

2.พฤติกรรมการเลี้ยงสัตว์ที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวให้สอดรับไปกับตลาดเป้าหมาย

อาทิ เทรนด์เลี้ยงสัตว์ในรูปแบบของ Pet Premiumization ที่เติบโตในตลาดสหรัฐ และญี่ปุ่น ซึ่งผู้เลี้ยงส่วนใหญ่ยังยอมลงทุนกับการใช้จ่ายเลือกซื้ออาหารสัตว์เลี้ยงคุณภาพสูง เพื่อยกระดับดูแลสัตว์เลี้ยงให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น หรือรักษาชีวิตให้อยู่ยืนยาว สะท้อนจากยอดการใช้จ่ายด้านอาหารสัตว์เลี้ยงที่ยังเติบโตสูงกว่าค่าใช้จ่ายส่วนอื่น ๆ เป็นต้น

3.ปัจจัยเสี่ยงเกี่ยวกับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทานที่เข้มงวดมากขึ้นจากผู้นำเข้า เช่น การลดการปล่อยคาร์บอน (CO2) การตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาของวัตถุดิบ รวมถึงมาตรการกีดกันทางการค้า (NTBs) กับกลุ่มผลิตภัณฑ์ใช้วัตถุดิบที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง กับการทำลายสิ่งแวดล้อมหรือไม่ยั่งยืน (อาทิ ปลาป่น กากถั่วเหลือง) โดยเฉพาะตลาดส่งออกในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป

หนุนธุรกิจไทยเจาะตลาดพรีเมี่ยม

สำหรับธุรกิจส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยควรเจาะตลาดพรีเมี่ยมรับเทรนด์ผู้บริโภคยอมจ่ายสูง เพื่อลดความเสี่ยงด้านการแข่งขันที่รุนแรง มาตรฐานทางการค้าด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนที่เข้มงวดขึ้น โดยมีการปรับตัวในด้านต่าง ๆ ดังนี้

เร่งพัฒนาอาหารสัตว์เลี้ยงในกลุ่มพรีเมี่ยม หรือมีมูลค่าสูงให้สอดรับกับเทรนด์ผู้บริโภคในอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยง อาทิ อาหารสัตว์เลี้ยงที่มีคุณภาพเทียบเท่าอาหารสาหรับมนุษย์ (Human Grade), อาหารสัตว์เลี้ยงออร์แกนิก, อาหารสัตว์เลี้ยงจากโปรตีนทางเลือก (พืช/แมลง) ไปจนถึงอาหารที่มีคุณสมบัติเฉพาะ เช่น สำหรับสัตว์เลี้ยงที่มีน้ำหนักเกิน สูงวัย ต้องการ อาหารเฉพาะโรค บำบัดอาการเจ็บป่วย หรือเสริมวิตามินบำรุง เป็นต้น

สร้างแบรนด์สินค้าที่เป็นของตัวเองให้มากขึ้น จากเดิมที่ผู้ผลิตของไทยเน้นรับจ้างผลิต (OEM) ให้แบรนด์ชั้นนำของโลก คิดเป็นสัดส่วนกว่า 80% ของจำนวนผู้ประกอบการในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง

ขณะที่การผลิตภายใต้แบรนด์ไทยมีอยู่เพียง 20% เพื่อเสริมศักยภาพด้านการแข่งขันให้เทียบเท่าผู้เล่นรายสำคัญของโลก อาทิ เยอรมนี สหรัฐ ฝรั่งเศส ที่จะส่งออกแบรนด์ตัวเองเป็นหลัก