ความไม่สมดุลใน “ตลาดแรงงาน” ผลกระทบจาก COVID-ปิดเมือง

บทความรอง
ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ

 

ความไม่สมดุลของตลาดแรงงานในระบบเศรษฐกิจนั้นเกิดขึ้นมามากกว่า 1 ทศวรรษแล้ว ปัญหาความไม่สมดุลเกิดขึ้นจากโครงสร้างประชากรในวัยทำงานลดลง ประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้น พัฒนาการและการขยายตัวทางเศรษฐกิจทำให้อุปสงค์ในตลาดแรงงานเพิ่มสูงขึ้นในช่วงก่อน COVID-19 ระบาด ขณะที่อุปทานแรงงานนอกจากเกิดปัญหาในเรื่องประชากรในวัยทำงานลดลงแล้ว ยังสะท้อนถึงปัญหาของระบบการศึกษาไทยที่ไม่สามารถผลิตทรัพยากรมนุษย์ให้รองรับความต้องการและอุปสงค์ในตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงได้

พลวัตของพฤติกรรมในการเลือกอาชีพของคนไทย พลวัตของเทคโนโลยีอุบัติใหม่ทำให้ภาวะความไม่สมดุลตลาดแรงงานเพิ่มขึ้น แต่ยังคงบริหารจัดการได้ผ่านการนำเข้าแรงงานต่างด้าวจำนวนมาก เข้ามาทำงานในบางลักษณะที่ไม่สามารถหาแรงงานไทยทำได้ แรงงานต่างด้าวทักษะต่ำกระจายทำงานอยู่ในภาคการผลิต ภาคบริการ ในระบบเศรษฐกิจไทยไม่น้อยกว่า 3 ล้านคน (ทั้งเข้าเมืองถูกกฎหมายและลักลอบเข้าเมือง) ในช่วงก่อนการแพร่ระบาดของ COVID-19

หลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 ประกอบกับการมีมาตรการปิดเมือง ปิดกิจกรรม ปิดประเทศ ทั้งในไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ “แรงงานต่างด้าว” จำนวนหนึ่งไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ตามปกติและอย่างถูกกฎหมาย จึงก่อให้เกิดการลักลอบเข้าเมืองของแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายจำนวนมากโดยไม่มีการกักกันโรคระบาด เป็นส่วนสำคัญในการสร้างปัญหาสาธารณสุข และการแพร่ระบาดหลายระลอกในประเทศไทย การติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อนในภาคการผลิตโรงงานอุตสาหกรรมเวลานี้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผลจากการติดเชื้อของแรงงานต่างด้าวทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตาม ภาคการผลิตทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตรกรรม ภาคบริการบางส่วน มีความจำเป็นต้องอาศัยแรงงานต่างด้าว และขณะนี้เกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงานไม่ต่ำกว่า 300,000-500,000 คน ในบางกิจการแม้อัตราการว่างงานโดยรวมเพิ่มขึ้น เนื่องจากในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้แรงงานต่างด้าวใบอนุญาตทำงานหมดอายุเฉลี่ยเดือนละ 100,000 คน และได้เดินทางกลับประเทศไปและยังไม่สามารถเดินทางกลับประเทศไทยได้

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 การแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะกิจการผลิตและแปรรูปอาหาร ภาคก่อสร้าง จึงเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนพอ ๆ กับปัญหาวิกฤตการว่างงานในกิจการท่องเที่ยวและธุรกิจต่อเนื่อง ภาวะความไม่สมดุลของตลาดแรงงานที่รุนแรงนี้แก้ไขได้ยากและต้องใช้เวลา นอกจากนี้ ยังขาดแคลนแรงงานทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข แรงงานชาวไทยที่ว่างงานอยู่จำนวนมากก็ไม่สามารถเข้ามาทดแทนการขาดแคลนได้ทันที

การวางแผนกำลังแรงงานอย่างมียุทธศาสตร์และคาดการณ์ล่วงหน้าในการวางแผนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด การมีระบบการรวมศูนย์ข้อมูลตลาดแรงงาน ทั้งทางด้านอุปสงค์และอุปทานให้สมบูรณ์และถูกต้อง เป็นพื้นฐานเบื้องต้นของการบริหารจัดการภาวะวิกฤตความไม่สมดุลของตลาดแรงงานที่เกิดขึ้นในขณะนี้

ทั้งนี้ ประเทศไทยมีข้อจำกัดของระบบข้อมูลของแรงงานอิสระที่มีอยู่ทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 8 ล้านคน (1 ใน 5 ของกำลังแรงงาน) โดยเฉพาะข้อมูลทางด้านรายได้ และข้อมูลทางการเงินของครัวเรือนประกอบอาชีพอิสระเหล่านี้ ซึ่งข้อมูลมีความสำคัญต่อการออกแบบมาตรการในการช่วยเหลือให้ตรงจุดตรงเป้ามากกว่าเดิม

ขณะเดียวกัน การติดเชื้อในกลุ่มแรงงาน ต่างด้าวในกิจการก่อสร้าง ทำให้โครงการก่อสร้างบางส่วนอาจเกิดการชะงักงัน ผู้ประกอบการจึงควรใช้แรงงานไทยที่ว่างงานแทน อย่างการเคลื่อนย้ายของแรงงานว่างงานจากภาคท่องเที่ยวที่มีการเติบโตติดลบมายังภาคการผลิตส่งออก ภาคก่อสร้างที่เริ่มมีการฟื้นตัวบ้างต้องใช้เวลาในการปรับทักษะของแรงงาน และต้องมีโครงการ reskill และ upskill อย่างเป็นระบบกว่านี้

แรงงานอิสระที่ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป พ่อค้าแม่ค้ารายย่อย คนขับรถแท็กซี่ คนขับวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง หาบเร่แผงลอย พนักงานบริการในร้านอาหาร พนักงานในสถานบันเทิง คนงานรับจ้างทั่วไปและก่อสร้างรายวัน เป็นจุดเปราะบางที่สุดของตลาดแรงงานไทยตอนนี้ คนเหล่านี้มักจะมีรายได้เป็นรายวัน การที่คนกลุ่มนี้ต้องหยุดงานนาน เขาจะไม่สามารถหาเลี้ยงชีพตัวเองและครอบครัวได้ และคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีหนี้สินครัวเรือนในระดับสูง

จึงขอเสนอให้มีการเตรียมงบฯสำหรับรองรับผลกระทบการระบาดระลอก 3 และรับมือกับการระบาดระลอก 4 เอาไว้ ต้องเพิ่มงบฯกลางจากที่มีอยู่ 139,000 ล้านบาท เป็น 300,000 ล้านบาทเป็นอย่างน้อย เพื่อใช้ในโครงการด้านสาธารณสุข การกระตุ้นการจ้างงานและโครงการชดเชยรายได้ และช่วยเหลือเยียวยาทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะกลุ่มแรงงานอิสระ

อย่างไรก็ตาม ต้องใช้งบฯกลางอย่างมียุทธศาสตร์ มีประสิทธิภาพไม่รั่วไหล ไม่เอื้อประโยชน์ต่อฐานเสียงทางการเมืองแต่เน้นไปที่ความจำเป็นเร่งด่วนเป็นหลัก ให้มีประสิทธิผลในการควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 มากกว่าเดิม เพื่อให้สามารถเปิดประเทศได้ในปลายปีนี้